ปีใหม่นี้...เราต้องทำความดีให้ได้ทุกวัน



อย่าลืมว่า...
ทุกลมหายใจเรากำลังใช้บุญเก่าอยู่ 
ดังนั้นปีใหม่นี้เราก็ต้องทำความดีให้ได้ทุกๆ วัน
แล้วก็ทำให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่าเดิม

ให้ใช้วันเวลาให้คุ้มค่า
เพราะเรามีเวลาอยู่อย่างจำกัดในโลกนี้
เราต้องฉลาดในการชิงช่วงเอาเวลามาสร้างบารมี
ทำให้ถูกวัตถุประสงค์ของชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ 
เพราะว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยาก 

ชีวิตในสังสารวัฏที่ผิดพลาดไปแล้ว
กว่าจะกลับหวนคืนมาเป็นมนุษย์อีกนั้นยาก 
แล้วที่ยากหนักเข้าไปกว่านั้นอีก
คือ เกิดมาแล้วได้พบพระพุทธศาสนา 
มีกุศลศรัทธา  ได้ยิน ได้ฟัง 
ได้ปฏิบัติธรรม  กระทั่งได้เข้าถึงธรรม 
มันยากขึ้นไปตามลำดับ

แต่ตอนนี้เราเป็นผู้มีบุญ 
เราจึงได้ในสิ่งที่ได้มาโดยยากเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น ต้องรีบใช้เวลาก่อนที่ทุกอย่าง
จะกลายไปเป็นอดีตที่แก้ไขไม่ได้ 
ด้วยการทุ่มเทสร้างบารมีให้เต็มที่นะลูกนะ

คุณครูไม่ใหญ่




20

แผ่เมตตาให้ตัวเราเอง...และเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งหลาย




รักษาใจให้ใจสบายๆ อย่าไปสนใจอะไร 
ถ้าเราเครียด หรือกังวลก็ทำร้ายตัวเราเอง 
จะไปเกิดประโยชน์อะไร

เราต้องแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง
เอ็นดูตัวเราเอง รักตัวเรา 
และเพื่อให้เขาไม่ผูกโกรธ
เราก็ต้องแผ่เมตตาให้กับเขา
ใจเราจะสบาย สบายทั้งขึ้นทั้งล่อง
ขึ้นก็สบาย ลงก็สบาย

ไม่ว่าใครจะคิดไม่ดีกับเรา
มันก็เป็นปัญหาของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา 
เพราะเขาทำร้ายตัวของเขาเอง

ถ้าเราไปคิดร้ายตอบ 
ก็เท่ากับเราทำร้ายตัวเราเอง เพราะเราร้อนใจ 
เท่ากับเราทำร้ายตัวเราเองก่อน เขายังไม่รู้เรื่องเลย
เริ่มต้นตัวเราก็ทำร้ายตัวเราเองก่อนเลย 

เพราะฉะนั้น...
การแผ่เมตตาให้ตัวเราเอง
เพื่อให้ใจเราเป็นสุข 
ไม่ทำร้ายตัวเราเองเป็นอันดับแรก เอ็นดูตัวเอง

ส่วนภารกิจปกป้องพระศาสนาก็ต้องทำ 
แต่ทำด้วยอารมณ์บันเทิง อารมณ์สบาย แผ่เมตตา

ความยากลำบากที่เราเจอ 
แต่ก็เป็นบารมีของเรา 
ทุกคนได้บารมีกันไปทั้งนั้นเลย

แม้คนในโลกไม่เห็นด้วยกับเรา แต่สิ่งที่เราทำถูกต้องดีงาม ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คิดดี พูดดี ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส เราเห็นด้วยกับตัวเราเอง แล้วเรามีความสุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

คุณครูไม่ใหญ่

3

Heaven On Earth



ชักชวนกันมาสวดธัมมจักรฯ กันเยอะ ๆ
ถ้าเราไม่สวด เราก็ไปพูดเรื่องอื่น
เรื่องสัพเพเหระ เรื่องที่ทำให้เราเครียด
เรื่องที่ทำร้ายตัวเราเอง
แล้วจะดีได้อย่างไร..

ต้องมาสวดธัมมจักฯ ดีกว่า
เพราะเป็นถ้อยคำอันประเสริฐ
บริสุทธิ์  สะอาด สูงส่ง
ที่นำไปสู่สิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น
สภาวะโลกร้อนก็จะถูกปรับให้ดีขึ้น
ให้เป็นดั่งสวรรค์บนดิน
*Heaven On Earth*
โลกและสวรรค์จะได้ไม่แตกต่างกัน

ต้องสวดให้เทวดาลงมาบนโลกมนุษย์เยอะๆ
เพราะโลกมนุษย์มีความสุขกว่าสวรรค์
ได้สั่งสมบุญ ได้สร้างบารมี

----------------------------------
ขอเชิญชวนลูกพระธัมฯ ทั่วโลก
ร่วมสวดธัมจักฯ ต่อเนื่องข้ามปี
มุ่งสู่เป้า 14,141,414
ชิตัง เม วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560
ชักชวนกันมาสวดเยอะ ๆ นะ



0

พรหมจรรย์ ๑๐ ประการ



“พรหมจรรย์” คือ การครองชีวิตอันประเสริฐ ประพฤติแบบพรหมไม่ได้มีความหมายเพียงการละเว้นจากเมถุนธรรมอย่างเดียว แต่มีความหมายกว้างถึง ๑๐ อย่างด้วยกัน  คือ
         ๑. การทำทาน
         ๒.ไวยยาวัจจะ
         ๓. การรักษาศีลห้า
         ๔. การแผ่เมตตาเป็นประจำทุกค่ำเช้า
         ๕. การงดเว้นเมถุนธรรม คือไม่ยินดีในกาม
         ๖. การยินดีเฉพาะในคู่ครองของตนเอง
         ๗. การเป็นผู้มีความเพียรในการเจริญสมาธิภาวนา
         ๘. การรักษาศีล ๘
         ๙. การบำเพ็ญอริยมรรคมีองค์ ๘
         ๑๐. การปฏิบัติอยู่ในไตรสิกขาได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
     
อธิบายขยายความว่า
๑.  การทำทาน  คือ การทำบุญด้วยทานวัตถุ เช่น ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นั่ง ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ
            ๒. ไวยยาวัจจะ  คือ การขวนขวายในกิจกรรมที่เป็นบุญกุศล เช่น ปัด กวาด เช็ด ถู จัดเตรียมสถานที่ฉัน ที่ฟังธรรม ที่ปฏิบัติธรรม อำนวยความสะดวกให้พิธีกรรมอันเป็นบุญ
กุศลดำเนินไปได้
            ๓. การรักษาศีลห้า คือ เว้นจากการฆ่าคนและสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจาก
ประพฤติผิดในกาม เว้นจากพูดเท็จ และเว้นจากดื่มสุราเมรัย
            ๔. การแผ่เมตตาเป็นประจำทุกค่ำเช้า จนเป็นอัปปมัญญา คือ ใจนิ่ง ขยาย มีเมตตา
แผ่ไปกว้างขวาง เกิดความรู้สึกเป็นมิตรต่อคนและสัตว์ หมดความรู้สึกเป็นศัตรูต่อใครทั้งหมด
            ๕. การงดเว้นเมถุนธรรมไม่ร่วมประเวณี ไม่มีเพศสัมพันธ์ เว้นขาดจากความยินดีใน
กามกิจ ข้อนี้เราจะรู้จักกันกว้างขวาง
            ๖. การยินดีเฉพาะในคู่ครองของตนเองที่เรียกว่า สทารสันโดษ คือไม่นอกใจภรรยา
หรือสามีของตน นี่ก็ถือว่าเป็นพรหมจรรย์ชนิดหนึ่ง ประพฤติแบบพรหม
            ๗. การเป็นผู้มีความเพียรในการเจริญสมาธิภาวนา
            ๘. การรักษาศีล ๘
            ๙. การบำเพ็ญอริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ดำเนินไปในหนทางสายกลาง
            ๑๐. การปฏิบัติอยู่ในไตรสิกขาได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมความว่า การทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด คือการปฏิบัติอยู่ในไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้จัดเป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น กระทั่งการขจัดกิเลส
การประพฤติพรหมจรรย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น จะได้สลัดตนพ้นจากกองทุกข์ ที่สุดแห่งพรหมจรรย์ คือประพฤติปฏิบัติ ๑๐ อย่างนี้แล้วไปถึงที่สุดก็คือ หมดกิเลส  

คุณครูไม่ใหญ่


0

อานิสงส์การแผ่เมตตา ๑๑ ประการ

            ๑.   หลับเป็นสุข
            ๒.  ตื่นเป็นสุข
            ๓.  ไม่ฝันลามก หรือไม่ฝันร้าย
            ๔.  เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
            ๕.  เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
            ๖.  เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา
            ๗. ไฟ  ยาพิษ  หรือศัสตรา ย่อมไม่กล้ำกราย
            ๘.  จิตตั้งมั่นโดยเร็ว
            ๙.   สีหน้าผ่องใส
            ๑๐. เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ
            ๑๑. เมื่อยังไม่แทงตลอดในคุณอันยิ่ง  ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก
    
เราจะนึกไม่ถึงเลย อานิสงส์ที่ประหยัดสุดประโยชน์สูง แค่เราลงทุนแผ่เมตตา แต่เราจะได้สิ่งดี ๆ เหล่านี้มาได้ มันน่าอัศจรรย์นะ เป็นสิ่งที่ทุกคนในโลกควรจะทำ เป็นของสากลเช่นเดียวกัน       ถ้าเราทำอย่างนี้ได้แล้วโลกจะเกิดสันติสุข  จะเลิกเบียดเบียนกัน  แล้วเราก็จะได้รับอานิสงส์อย่างนี้คือ
๑.     ย่อมหลับเป็นสุข  หมายถึง คนทั่วไปย่อมหลับพลิกกายไปมา นอนกรน
กระสับกระส่ายอยู่  ชื่อว่าหลับเป็นทุกข์  ถ้าไม่แผ่เมตตา ส่วนบุคคลผู้ได้เจริญเมตตาวิมุติ เมื่อย่างลงสู่ความหลับก็เป็นสุขเหมือนผู้เข้าสมาบัติ
๒.   ย่อมตื่นเป็นสุข  คนทั่วไปเมื่อตื่นขึ้น  บางทีทำเสียงครางบิดกายร้องอึ้ด ๆ พลิก
ไปมาถอนใจ  กระสับกระส่ายเป็นทุกข์  แต่บุคคลที่ได้เจริญเมตตาวิมุติไม่มีอาการผิดปกติ   ตื่น
เป็นสุขอย่างสง่างาม  เหมือนดอกปทุมกำลังแย้มบาน  
            ๓. ย่อมไม่ฝันลามก หรือไม่ฝันร้าย บุคคลใดเจริญเมตตาเมื่อฝันก็จะฝันเห็นนิมิตที่
งดงาม  เช่นฝันว่ากำลังไหว้พระมหาธรรมกายเจดีย์  กำลังฟังธรรมอยู่ ปฏิบัติธรรมอยู่
เป็นต้น  แต่บุคคลที่ไม่ได้เจริญเมตตาย่อมฝันร้าย เช่น ฝันว่าตัวเองกำลังถูกพวกโจรล้อม
หรือถูกสัตว์ร้ายรุมทำอันตราย  ฝันว่ากำลังตกเหว  ตกนรกบ้าง เป็นต้น
            ๔. ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย  บุคคลผู้ใดเจริญเมตตาวิมุติ ย่อมเป็นที่รักพอใจ
ของมนุษย์ทั้งหลาย  ราวกับสร้อยไข่มุกที่สวมใส่ไว้แนบอก หรือราวกับพวงดอกไม้ที่นำมาประดับ
ไว้บนศีรษะ  คือเป็นของรักของทุก ๆ คน
            ๕. ย่อมเป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลใดเจริญเมตตาวิมุติ ย่อมเป็นที่รักของ
มนุษย์ทั้งหลายฉันใด ก็ย่อมเป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลายฉันนั้น   อมนุษย์จะไม่มาเบียดเบียน จะคอยดูแลอย่างดีเลย ไม่มาปรากฏกายให้เห็น ไม่ส่งเสียงน่าสะพรึงกลัว และถ้าใครที่จะเข้ามาเบียดเบียนก็จะคอยปกป้องคุ้มกัน
            ๖. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา  ประดุจมารดาบิดาทั้งหลายรักษาบุตรที่เกิดจากอุทร
            ๗. ไฟ ยาพิษ หรือศัสตรา ย่อมไม่กล้ำกรายได้  บุคคลที่ได้เจริญเมตตาวิมุติ ไฟก็ดี
ยาพิษก็ดี  ศัสตราก็ดี ย่อมไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้  เพราะจะมีกระแสแห่งเมตตานั้นแผ่
ออกไปปกป้อง
            ๘. จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว หมายถึง บุคคลเมื่อได้เจริญเมตตาจิต ย่อมเป็นสมาธิ
ได้เร็ว
            ๙.  สีหน้าย่อมผ่องใส ถ้าเจริญเมตตาวิมุติ สีหน้าจะผ่องใส ดุจตาลสุกที่เพิ่งหลุดจากขั้ว 
            ๑๐. เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ  หมายถึง จะไม่หลงตาย  เวลาใกล้จะตายจะมีสติ จะเห็นแต่ภาพที่ดีๆ เป็นบุญกุศล เพราะฉะนั้นเมื่อละโลกแล้วจะไปสู่เทวโลก
            ๑๑. แม้เมื่อไม่แทงตลอดในคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก คือ แม้ไม่ได้
บรรลุพระอรหัต ถ้าหากเจริญเมตตาวิมุติละจากโลกนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงพรหมโลก ราวกับว่าหลับ
แล้วตื่นขึ้นฉะนั้น 
            นี่คืออานิสงส์ ๑๑ ประการ ถ้าใครอยากได้พึงทำง่าย ๆ แผ่ความรักและปรารถนาดี
ให้กับเพื่อนมนุษย์เถิดด้วยความจริงใจ  แล้วสิ่งดี ๆ ๑๑  ข้อ ก็จะเป็นของเราเลย ได้มา
ฟรี  ๆ แค่เราทำโดยไม่ต้องเสียเงินนี่แหละ  สบายยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุก  ๆ  คน มีความรักเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างนี้นะ

คุณครูไม่ใหญ่
๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๗


0

Facebook