จะประกอบอาชีพอะไร...ต้องเลือกให้ดี



จะประกอบอาชีพอะไร
ต้องเลือกให้ดี
เพราะมันมีผลกับ
ความใสความหมองของใจ
เราจะเห็นภาพนั้น  ได้ยินเสียงนั้น  และถูกบันทึกเป็นภาพเอาไว้ในใจ  มันจะปรุงให้ใจเราใสหรือหมองตลอดเวลาเลย  จะถูกบันทึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ และจะไปฉายเป็นภาพให้เห็นตอนใกล้จะละโลก ที่เรียกว่า “กรรมนิมิต”
เหมือนเราดูหนังอยู่คนเดียว ซึ่งมีตัวเองเป็นพระเอกหรือเป็นผู้ร้ายอยู่ตรงนั้น  
มีผลทำให้ใจหมองหรือใส คตินิมิตก็จะไปตามความใสกับหมอง แล้วก็นำไปสู่ปรโลก คือ สุคติ หรือทุคติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเห็นตรงนี้ ท่านถึงสอนว่าอาชีพสำคัญนะ ต้องสัมมาอาชีวะเท่านั้น  ที่ไม่ใช่สัมมาอาชีวะ มีอยู่ ๕ อย่าง พึงเว้น
เพราะฉะนั้นเรื่องอาชีพไม่เลือกไม่ได้ ต้องเลือกให้ดี
ไม่อย่างนั้นจะมีคำว่า สัมมาอาชีวะได้อย่างไร

คุณครูไม่ใหญ่

27 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
5

กฎแห่งกรรม...ไม่รู้อันตราย



กฎแห่งกรรมเป็นกฎที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่รู้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ก็ดำเนินชีวิตผิดพลาด
ต้องศึกษาให้รู้ เป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเราตกอยู่ภายใต้ Law of kamma

กฎแห่งการกระทำ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ไม่ว่าดีหรือชั่วล้วนมีผลทั้งสิ้น
ถ้าชั่วก็มีผลไปอบาย ถ้าดีก็มีผลไปสุคติ

ที่ไปอบาย อุปมาเหมือนฝุ่นในผืนปฐพี
เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรมจึงดำเนินชีวิตผิดพลาด

ไปถึงตรงนั้น ไม่มีสิทธิ์คิดอะไร
ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดว่า รู้อย่างนี้
แล้วไม่รู้ด้วย ทำไมมาถึงอยู่ ๆ ก็ตุ๊บ ลุยกันเลย
ไม่ได้พูดคุยกันก่อน ไม่มีการผลักอก หรือเจรจาให้เกิดอารมณ์ไม่มีนะ  
พอลงมา ก็ตุ๊บกันเลย  โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย และอย่างยาวนานทีเดียว

เพราะฉะนั้น เมื่อชีวิตเสี่ยงอยู่แล้ว เราไม่ควรจะเสี่ยงกันต่อไป
ไม่เสี่ยงคือ เราต้องมาศึกษาความรู้สากลที่ทุกคนศึกษาได้
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์ใด
นั่นคือ Law of kamma

คุณครูไม่ใหญ่
27 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
3

ทำไมเขารวย ทำไมเราจน?





คนจะรวยต้องมีบุญ  บุญเก่าเราไม่รู้ว่ามีมากน้อยเพียงใด แต่บุญใหม่เราต้องสร้าง  ต้องสั่งสม  แล้วหมั่นนึกถึงบุญ  เพราะบุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จทั้งปวง

หมั่นทำใจให้ใสๆ ดวงบุญจะได้ใสๆ อธิฐานให้บุญบันดาล ให้มีช่องทาง ถ้าหากเรานึกถึงบุญ ใจก็จรดที่บุญ กระแสธารแห่งบุญก็จะหลั่งไหลมาที่ตัวเรา เมื่อบุญเต็มเปี่ยมก็จะสามารถดึงดูดทรัพย์สมบัติมาได้

บุญเป็นเหตุแห่งความสำเร็จ  ความรู้  ความสามารถเป็นเพียงส่วนประกอบ  จังหวะที่ดี  ถ้อยคำที่มีพลังให้สำเร็จได้นั้น...ต้องอาศัยกำลังบุญ  

คำพูดประโยคเดียวกัน  คนมีบุญพูดกับคนไม่มีบุญพูดให้ผลต่างกัน  
คนมีบุญเงินมาหา  แต่คนบุญน้อยต้องไปหาเงิน ...แล้วหาไม่ค่อยได้ 
คนมีบุญมีหนูตายตัวเดียว ยังมีวิธีการแสวงหาทรัพย์จนเป็นเศรษฐีได้

คุณครูไม่ใหญ่
17  พฤษภาคม  พ.ศ. 2539


9

วิชชาธรรมกาย


วิชชาธรรมกายเป็นเรื่องลึกซึ้ง
ถ้าเข้าถึงธรรมกายแล้ว

อย่างน้อยก็ไปนรก ไปสวรรค์ ไปนิพพานได้
จับมือถือแขนสัตว์นรกได้ จับมือถือแขนเทวดาได้
ไปนิพพาน  ภพ ๓ โลกันตร์ ไปได้ตลอด

บรรพบุรุษ บิดามารดา ญาติพี่น้องละโลกแล้วไปอยู่ที่ไหน
เข้าถึงวิชชาธรรมกายไปพบหาได้

ถ้ามีทุกข์ก็ไปช่วยได้
มีสุขแล้วก็เอาบุญไปให้ไปเพิ่มเติมความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้

นี่วิชชาธรรมกายลึกซึ้งกันอย่างนี้ทีเดียว

 

คุณครูไม่ใหญ่

วันเสาร์ที่    กันยายน  .. ๒๕๔๑


2

อย่าหวังให้ใครอุทิศบุญไปให้


           
                เราอย่าไปหวังให้ผู้ที่มีชีวิตอยู่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ อย่าไปหวังเลย ให้คิดว่า ถ้าเขาทำให้ นั่นเป็นผลพลอยได้ เพราะผู้ที่อยู่ในโลกมักจะถูกหล่อหลอมด้วยเรื่องราวที่ให้ข้องอยู่กับโลก  ความรู้เกี่ยวกับเรื่องวิชชาของชีวิตไม่มี  มีแต่วิชาหาเลี้ยงชีพเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นั้น อย่าพึงหวัง
แม้เราเองก็เถอะ ก่อนที่จะมารู้เรื่องราวความจริงของชีวิต ก่อนนี้เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในปรโลก ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราละโลกไปแล้ว เรายังไม่ค่อยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านเลย ปีหนึ่งก็อาจจะทำกันครั้งหนึ่ง โดยอ้างว่า ไม่มีเวลา จะต้องทำมาหากิน ต้องทำมาค้าขาย ต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัวบ้าง อ้างกันไปอย่างนั้น หรือบางทีก็เพราะความไม่รู้จริง ๆ
ชีวิตในปรโลก  เป็นอยู่ได้ด้วยบุญ ด้วยบาป ด้วยตัวของเราเอง  อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ คือ เราต้องพึ่งตัวเองด้วยการสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนาให้มาก ๆ ด้วยตัวเองตอนที่มีชีวิตอยู่

คุณครูไม่ใหญ่
๓  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๔๕


11

ต้องฉลาดใช้ทรัพย์




ทรัพย์ที่เรามีไว้สำหรับเป็นอุปกรณ์ในการสร้างบารมีในชาตินี้ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ จะเอาไปได้ก็ต้องเปลี่ยนทรัพย์เป็นเครดิตการ์ดภายใน ฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนา แปรเปลี่ยนทรัพย์หยาบเป็นทรัพย์ละเอียดเป็นดวงบุญใส ๆ ภายใน แล้วก็แปรไปเป็นทิพยสมบัติในเทวโลกต่อไป
ชีวิตในเทวโลก ยาวนานกว่าในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ จนก็จนแค่ไม่กี่สิบปีก็ตายแล้ว แต่ถ้าจนในปรโลกเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านปี ยาวนานอย่างที่เรานึกไม่ถึงเลย ถึงตอนนั้นเราจะมานึกเสียดายก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะฉะนั้นรีบทำตั้งแต่ตอนนี้ ถ้ารวยในปรโลกก็รวยนาน รวยในเมืองมนุษย์ประเดี๋ยวประด๋าวก็หมดเวลาแล้ว ทำไมเราไม่มองไกลไปถึงปรโลก เพราะเราต้องไปอย่างแน่นอน

คุณครูไม่ใหญ่

๒๖  กรกฎาคม พ.. ๒๕๕๐
10

ไม่ได้เอาสวรรค์มาล่อ...แต่เอาสวรรค์มาเล่า



สวรรค์...เป็นที่เสวยผลบุญ  ที่เราได้กระทำเมื่อตอนเป็นมนุษย์
สวรรค์...เขาไม่ได้ดูว่า ตอนเป็นมนุษย์ใครมียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำแค่ไหน
จะหล่อรวยสวยฉลาดแค่ไหน... เขาดูที่ใครสั่งสมบุญมามาก
สวรรค์...เขาไม่ได้ดูว่าใครอายุยืนยาว หรืออยู่มานานจึงจะให้เป็นผู้มียศใหญ่  มีความเป็นใหญ่
แต่เขาดูที่ใครมีบุญมาก เขาก็ให้โอกาสผู้มีบุญมากเป็นผู้มียศ มีความเป็นใหญ่
สวรรค์...เทพบุตรเทพธิดาผู้มีบุญมาก รัศมีที่ออกจากกาย จากเครื่องประดับก็มาก
บริวารสมบัติก็มาก วิมานใหญ่โตโอฬาร
สวรรค์...มีพื้นที่ใหญ่โตโอฬาร  มีการปกครองแบ่งออกเป็นเขต ๆ
ประชากรชาวสวรรค์ในแต่ละชั้นมีจำนวนมากกว่าในเมืองมนุษย์มาก
สวรรค์...มีฤดูเดียว คือ ฤดูสบาย ไม่มีฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ
สวรรค์...ไม่มีความมืด มีแต่ความสว่างไสว แม้วัตถุสิ่งของก็สว่างไสว
สวรรค์...มีแต่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว เทพธิดาอายุ ๑๖-๑๘ ปี เทพบุตรอายุ ๑๘-๒๐ ปี
สวรรค์...มีแต่เกิดกับตาย ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ
สวรรค์...มีสังคมใหม่ มีวัฒนธรรมใหม่ ขนบธรรมเนียมประเพณีใหม่ และมีความคิดไม่เหมือนมนุษย์
สวรรค์...มีจริง  พิสูจน์ได้ ไปรู้ไปเห็น ไปถูกต้องสัมผัสได้
ถ้าเราได้เข้าถึงธรรมกาย ได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย  ไปกันได้ทุกคนช

คุณครูไม่ใหญ่


7

เงินพระศาสนา


เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ที่เขานำมาทำบุญ เขาต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะฉะนั้นเราจะจับจ่ายใช้สอยสิ่งใดก็ตาม แม้จะเป็นงานเพื่อพระศาสนาก็ต้องรู้จักใช้ให้ทุกบาททุกสตางค์ประหยัดสุด ประโยชน์สูง ให้เป็นบุญกุศลของท่านเจ้าภาพและตัวเราด้วย อย่าไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย นี่เป็นเรื่องที่สำคัญนะ
กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทแต่ละสตางค์ ไม่ใช่ง่ายเลย สมัยคุณยายอาจารย์ท่านยังอยู่ ท่านจะพร่ำสอนว่า เงินทองเขาจบเหนือหัวมาทำบุญนะ จะจับจ่ายใช้สอยก็ ต้องคิดให้รอบคอบ เราจะได้ไม่เป็นหนี้  และจะเป็นบุญทั้งของผู้ทำบุญ และของเราด้วย ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นแก่งานพระศาสนา นี่คือสิ่งที่คุณยายท่านพร่ำสอนมา ซึ่งก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านก็สอนอย่างนี้
พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา ท่านเป็นคนประหยัด เป็นคนมัธยัสถ์อย่างยิ่งเลย และท่านมักจะสอนว่า ต้องใช้เงินให้เป็น ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นทาสของเงิน กว่าญาติโยมเขาจะนำอาหาร นำปัจจัยมาถวาย เขาลำบาก ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะฉะนั้นจะจับจ่ายใช้สอยอะไร ก็ต้องใช้กันให้ดี ให้มีความเคารพในทานของเขา

คุณครูไม่ใหญ่

วันจันทร์ที่  ๒๔  กันยายน พ.. ๒๕๕๐
15

ทำไมต้องทำบุญ 7 วัน 50 วัน 100 วัน?



ประเพณีของชาวพุทธ  เมื่อมีผู้เสียชีวิต  เรามักจะคุ้นเคยกับการทำบุญให้ผู้ตาย 7 วัน 50 วัน และทำบุญ 100 วัน เคยสงสัยไหมว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น  
การทำบุญ 7 วัน คือ ช่วงที่ผู้ตายยังวนเวียนอยู่ในเมืองมนุษย์  นี่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปมหานรก ก็จะได้มีโอกาส ๗ วันนั้นส่งบุญไปช่วยกันได้ 
การทำบุญ 50 วัน คือ ช่วงที่กำลังรอคอยการพิพากษาจากพญายมราชในยมโลก เข้าคิวคอยอยู่ในช่วงนี้ 
การทำบุญ 100 วัน คือ ช่วงที่ระหว่าง 50 100 วัน คือ ช่วงพิพากษา  และส่งไปเกิดเป็นอะไรต่ออะไร  เช่น ไปเกิดในยมโลก ไปเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นเปรต อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ช่วง  7  วัน  50  วัน  100 วัน  จะเป็นช่วงกายละเอียดรับบุญได้ นี่คือหลักการนะ  ส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างนี้  แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด  เพราะฉะนั้น ภายใน 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน ก็ต้องทำบุญทุกบุญให้เต็มกำลัง  แล้วอุทิศบุญไปให้กับผู้ที่เสียชีวิต

คุณครูไม่ใหญ่
๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖


7

ข้อคิดคนป่วย



เวลาเราจะเข้าโรงพยาบาล เพื่อไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปีตามปกติ หรือไปเช็คเพราะสงสัยว่า อาจจะมีบางสิ่งผิดปกติในร่างกายเราก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ก็ให้ทำใจของเราให้เป็นปกติ  อย่าตกใจ อย่าวิตกกังวล แล้วให้ทำตามหลักวิชา
คือ นึกถึงบุญที่เราได้กระทำเอาไว้  นึกเป็นภาพที่เราได้ทำบุญมา  ไม่ว่าจะเป็นบุญสงเคราะห์โลก เช่น บุญสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือบุญที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  ไม่ว่าจะเป็นทอดกฐิน ทอดผ้าป่า  สร้างหอฉัน  สร้างศาลาวัด  บุญสร้างพระ  หรือบุญให้วิทยาทาน  ให้ธรรมทาน  ให้อภัยทาน 
นึกภาพบุญที่เราได้เคยทำ แล้วอธิษฐานจิต ให้เจอหมอดี ยาดี เจอหมอที่สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง  มีความสามารถในการรักษาโรคได้ ให้เจอยาที่จะรักษาอาการนั้นให้หายขาดได้ 
นึกถึงบทสวดมนต์ที่เราสวดคล่อง  ถ้าจำไม่ได้ก็ให้ภาวนา สัมมาอะระหัง ในใจไปเรื่อย ๆ 
เมื่อเรานอนป่วยอยู่โรงพยาบาล  ในยามนั้นเป็นเวลาที่เราจะต้องอยู่กับตัวเอง  อย่าเอาใจไปอยู่กับครอบครัว  นึกถึงลูกคนนั้น คนนี้ อย่าไปคิดเรื่องธุรกิจการงาน  ลูกน้อง ผู้ร่วมงานจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรืองานที่จะมีต่อไปในอนาคต  ไม่ต้องไปนึกถึง แต่ทำใจให้สงบนิ่ง ๆ ให้นึกถึงบุญอย่างเดียว  เพราะตอนนั้นเราจำเป็นจะต้องอาศัยบุญเป็นหลัก
โรคทุกโรค มีสมมุติฐานมาจากวิบากกรรมทั้งสิ้น  หมอจะค้นพบหรือค้นไม่พบก็ดี  จะรักษาหาย  หรือรักษาไม่หายก็ดี ทุกโรคล้วนมีวิบากกรรมเป็นสมมุติฐานทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นรหัสชะตากรรมที่อยู่ในกำเนิดธาตุธรรมเดิมของเราที่เล็ก ๆ เหมือนเมล็ดโพธิ์เมล็ดไทรที่ติดอยู่ในศูนย์กลางกาย
เพราะฉะนั้น ในยามที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย ให้อยู่ในบุญ อยู่กับตัวเอง ถึงเวลาที่เราจะต้องวางทุกภารกิจ ครอบครัว ธุรกิจการงาน ภารกิจอะไรก็แล้วแต่ แล้วทำใจให้เป็นกลาง นิ่ง ๆ ให้ใจใส ๆ 
ผู้ที่จะไปเป็นเพื่อนก็ดี หรือไปเยี่ยมไข้ก็ดี  ต้องรู้หลักวิชาในการไปเยี่ยมไข้  อย่าเอาเรื่องร้อนอกร้อนใจไปเล่า ให้เอาเรื่องบุญเรื่องธรรมะไปพูดให้ฟัง จะทำให้ผู้ไข้มีจิตใจที่บันเทิงในบุญ บันเทิงในธรรม หนักก็จะเป็นเบา เบาก็จะหาย ถ้าตายก็ไปดี
อีกประการหนึ่ง การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติธรรมดาของทุกคนในโลก สังขารร่างกายเป็นรังแห่งโรค ล้วนแต่มีวิบากกรรมทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเรื่องธรรมดา เราก็ไม่ต้องไปหวั่นไหวอะไร  ทำนิ่ง ๆ  ถึงแม้จะสะดุ้งหวาดกลัวแค่ไหนก็ทำเฉย ๆ  แล้วบุญจะได้ช่องที่จะคอยดูแลเรา
คุณครูไม่ใหญ่
วันจันทร์ที่  ๑๙  มกราคม พ.. ๒๕๔๗



4

อานิสงส์ให้ทานโดยไม่เคารพ

  
พระบรมศาสดา  ทรงตรัสเล่าเรื่องเวลามพราหมณ์ ว่าด้วยการให้ทานที่มีผลมาก  แก่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
บุคคลผู้ให้ทานที่ประณีตหรือไม่ก็ตาม  หากให้โดยไม่เคารพในทาน ไม่ทำความนอบน้อมในทาน  ไม่ได้ให้ด้วยมือของตนเอง  ให้ของที่เหลือเดน  แล้วให้ทานโดยไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม คือ ให้ไปอย่างนั้นเอง  แต่ก็ไม่ได้เชื่อว่าจะมีผลอะไรต่อไป  คือให้ ๆ ไปให้พ้นหูพ้นตา ทานนั้น ๆ จะส่งผลให้เขา
เมื่อไปเกิดในที่ใดก็ตาม
แม้มีทรัพย์มาก  จิตของผู้นั้นย่อมไม่ยินดีที่จะทานอาหารอย่างดี  จะรับประทานแต่ของเก่า  ค้างคืน  
แม้มีทรัพย์มาก  ย่อมไม่ยินดีที่จะใช้ผ้าเนื้อดี  ชอบแต่ผ้าเนื้อหยาบ
แม้มีทรัพย์มาก  ย่อมไม่ยินดีที่จะใช้พาหนะดี ๆ ชอบแต่ของเก่า ๆ
แม้มีทรัพย์มาก  ย่อมไม่ยินดีที่จะทรัพย์นั้นมาบำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่ตนปรารถนา 
แม้บริวารของผู้ให้ทาน คือ บุตร ภรรยา ทาส คนรับใช้  เป็นต้น  ก็ไม่เชื่อฟัง เหล่านี้เป็นผลแห่งกรรมที่ทำทานโดยไม่เคารพ  ไม่ตระหนักเห็นคุณค่าในการทำทาน  
ส่วนบุคคลผู้ให้ทานที่ประณีตหรือไม่ก็ตาม  ถ้าให้ทานโดยเคารพ  ทำความนอบน้อมในทาน  ให้ทานด้วยมือของตนเอง  ให้ของที่ไม่เหลือเดน  และให้ทานโดยเชื่อกรรมและผลของกรรม  ทานนั้นจะส่งผลให้เขา
เมื่อไปเกิดที่ใดก็ตาม  จิตของเขาย่อมน้อมไปเพื่อรับประทานอาหารอย่างดี ย่อมยินดีในการใช้ผ้าเนื้อดี  ย่อมยินดีในการใช้ยานพาหนะดี ๆ  จิตของเขาย่อมยินดีในการบำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่น่าปรารถนา  แม้บริวารของผู้ให้ทาน คือ บุตร ภรรยา  ทาส  คนรับใช้  เป็นต้น  ย่อมเชื่อฟัง  ข้อนี้ก็เป็นผลแห่งกรรมที่ทำทานโดยเคารพ 
คุณครูไม่ใหญ่
วันศุกร์ที่  ๑๖  มกราคม พ.. ๒๕๔๗



5

ทัณฑ์ทรมานแห่งนรก



นรก...เป็นที่เสวยผลแห่งบาปที่ได้กระทำไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์
นรก...  เป็นสิ่งสากล  ไม่ได้เป็นของชาติไหน ภาษาไหน  หรือศาสนาไหน ไม่ใช่ของคริสต์ พุทธ มุสลิม หรือของความเชื่อใด
นรก...เป็นอีกโลกหนึ่ง สำหรับรองรับผู้ไปสู่ปรโลกด้วยใจที่เศร้าหมอง เพราะบาปกรรมที่ทำไว้
นรก...แออัดไปด้วยอดีตมนุษย์ผู้กระทำกรรมชั่ว ไม่ละเว้นแม้อดีตผู้ยิ่งใหญ่  อดีตมหาเศรษฐี 
นรก...ดินแดนแห่งความมืดมิด  อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ร้อน ทึม มืด ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน  มีแต่เสียงร้องโหยหวนของสัตว์นรกอยู่ตลอดเวลา 
นรก...นายนิรยบาลบังเกิดขึ้นจากวิบากกรรมของสัตว์นรก  พร้อมเครื่องทัณฑ์ทรมานที่หลากหลายจนจินตนาการไปไม่ถึง  ทั้งสัตว์นรกและนายนิรยบาล มีกายโตใหญ่เป็นภูเขาเหล่ากา ขนาดลูกเล็กบ้าง  ปานกลางบ้าง ใหญ่บ้าง
นรก...มีไฟอันร้อนแรง สามารถทำลายนัยน์ตาของผู้ยืนดูอยู่ ที่ห่างออกไป ๑๐๐ โยชน์  ก้อนหินน้อย ๆ ทิ้งลงไปในไฟปกติ ไฟเผาลนอยู่ตลอดวันไม่ย่อยยับ  แต่ว่าหินก้อนโตเท่าปราสาททิ้งลงไปในไฟนรกก็ย่อยยับไปในทันที   แม้ดวงอาทิตย์ใส่ลงไปในไฟนรกก็แวบละลายหายไปในทันที
นรก...ดินแดนอันน่าสะพรึงกลัว...ที่ไม่มีเวลาว่างเว้นต่อทัณฑ์ทรมาน
นรก...มีจริง  ไปถึงได้เมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย

คุณครูไม่ใหญ่




0

อานิสงส์ของการให้




ในสมัยพุทธกาล พระราชธิดาของพระเจ้าโกศลพระนามว่า  สุมนา เมื่อยังทรงพระเยาว์มีพระชนม์ได้ พระชันษา ทรงทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่เป็นอจินไตยเกิดขึ้น แต่ได้เก็บไว้เป็นความลับไม่กล้าบอกใคร เพราะเกรงว่าเขาจะไม่เชื่อ
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพระวิหารเชตวันสร้างเสร็จใหม่   พระเจ้าโกศลรับสั่งให้พระราชธิดาไปรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หลังจากที่ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาด้วยของหอมและดอกไม้แล้ว  ได้ประทับนั่งในที่อันควรแล้วจึงได้ตรัสเล่าถึงเรื่องที่ทรงสงสัยว่า
หม่อมฉันเห็นเด็ก คน  เพิ่งเกิดใหม่ คนหนึ่งนอนอยู่ในเปลทอง อีกคนหนึ่งนอนที่พื้นใกล้ กัน เด็กที่นอนในเปลทองเป็นน้องชายของหม่อมฉัน ได้คุยกับเด็กที่นอนบนพื้นซึ่งเป็นลูกของหญิงรับใช้ว่า  เห็นมั๊ย  ท่านไม่เชื่อคำชักชวนของเราว่า ให้ทำทานตั้งแต่ชาติที่แล้ว ถ้าทำทานก็จะได้เกิดในอู่ทองแล้วก็มีสมบัติใหญ่อย่างนี้
เด็กชายที่นอนที่พื้นบอกว่า ถึงจะร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองแค่ไหน มันก็เป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟเท่านั้น ไม่เห็นว่าจะสำคัญอย่างไร จะได้นอนเปลทอง หรือว่านอนบนพื้นมันก็เหมือนกัน 
เด็กชายสองคนคุยกันตั้งแต่แบเบาะ  พระนางสุมนา ซึ่งมีวัยเพียง ขวบ  ไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และได้นำมาตรัสถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ก็ทรงยืนยันว่า สิ่งที่เธอเห็นเป็นจริงอย่างนั้น 
พระนางสุมนาจึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อว่า “คน คน มีศรัทธา มีศีล มีปัญญาเสมอกัน แต่คนหนึ่งให้ทาน อีกคนหนึ่งไม่ให้ทาน คนทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างไร”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ให้ย่อมได้รับสิ่งอันเลิศกว่าผู้ไม่ให้ ทั้งอายุ วรรณะ สุขะ ยศ และอธิปไตย  ผู้ให้ทานเวลาไปเกิดเป็นเทวดา ย่อมได้รับของที่เป็นทิพย์อันเลิศกว่าผู้ไม่ให้ ๕  ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และอธิปไตย อายุจะยืนกว่าเทวดาที่ไม่ได้ให้ทาน วรรณะก็คือ รัศมี  ผู้ให้ก็จะเป็นเทวดาที่รัศมีสว่างกว่าเทวดาที่ไม่ได้ให้  จะมีความสุขมากกว่า มียศใหญ่กว่า มีอธิปไตย คือ มีความเป็นใหญ่  มีบริวารมากกว่า  ผู้ให้กับผู้ไม่ให้  เมื่อตายแล้วไปอยู่บนสวรรค์ก็แตกต่างกันอย่างนี้
และเมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็แตกต่างกันโดยเหตุ ประการนี้  นั่นคือตอนเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่อายุ ผิวพรรณ วรรณะ ความสุข ยศ และความเป็นใหญ่ และแม้ออกบวชแล้ว ก็แตกต่างกันโดยธรรม ประการนั้นเช่นเดียวกัน
อีกเรื่องหนึ่ง มีพระอรหันต์รูปหนึ่ง ไม่เคยทำทานเลย ได้แต่รักษาศีล และเจริญภาวนาเรื่อยมา ในชาติสุดท้าย เกิดมาก็อด อยาก แม้บวชเป็นบรรพชิตแล้วก็ยังบิณฑบาตรได้บ้างไม่ได้บ้าง  แต่ทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์  ได้ฉันอาหารอิ่มมื้อเดียวตอนก่อนจะดับขันธปรินิพพาน  โดยที่พระสารีบุตรไปบิณฑบาตมาแล้วก็เอามือจับบาตรนั้นท่านจึงได้ฉัน  นี่ผู้ที่ไม่ทำทานมาต้องอาศัยบุญของคนอื่นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแม้เป็นบรรพชิตเหมือนกัน  แต่ผู้ให้กับผู้ไม่ให้ก็แตกต่างกันด้วยอายุ วรรณะ สุขะ ยศ และอธิปไตย แต่การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นไม่แตกต่างกัน  พูดง่าย ก็คือ คนที่เป็นผู้ให้จะร่ำรวย  สมบูรณ์  มีความสุขสบายกว่าผู้ที่ไม่ให้ ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นชาวสวรรค์  ไปเกิดเป็นมนุษย์  หรือเป็นพระ  เป็นนักบวชก็ตาม  เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นทำทานบ่อย   เราจะได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบายไปทุกภพทุกชาติ

คุณครูไม่ใหญ่

วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.. ๒๕๔๔

 

5

Facebook