อานิสงส์ของการให้




ในสมัยพุทธกาล พระราชธิดาของพระเจ้าโกศลพระนามว่า  สุมนา เมื่อยังทรงพระเยาว์มีพระชนม์ได้ พระชันษา ทรงทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่เป็นอจินไตยเกิดขึ้น แต่ได้เก็บไว้เป็นความลับไม่กล้าบอกใคร เพราะเกรงว่าเขาจะไม่เชื่อ
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพระวิหารเชตวันสร้างเสร็จใหม่   พระเจ้าโกศลรับสั่งให้พระราชธิดาไปรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หลังจากที่ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาด้วยของหอมและดอกไม้แล้ว  ได้ประทับนั่งในที่อันควรแล้วจึงได้ตรัสเล่าถึงเรื่องที่ทรงสงสัยว่า
หม่อมฉันเห็นเด็ก คน  เพิ่งเกิดใหม่ คนหนึ่งนอนอยู่ในเปลทอง อีกคนหนึ่งนอนที่พื้นใกล้ กัน เด็กที่นอนในเปลทองเป็นน้องชายของหม่อมฉัน ได้คุยกับเด็กที่นอนบนพื้นซึ่งเป็นลูกของหญิงรับใช้ว่า  เห็นมั๊ย  ท่านไม่เชื่อคำชักชวนของเราว่า ให้ทำทานตั้งแต่ชาติที่แล้ว ถ้าทำทานก็จะได้เกิดในอู่ทองแล้วก็มีสมบัติใหญ่อย่างนี้
เด็กชายที่นอนที่พื้นบอกว่า ถึงจะร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองแค่ไหน มันก็เป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟเท่านั้น ไม่เห็นว่าจะสำคัญอย่างไร จะได้นอนเปลทอง หรือว่านอนบนพื้นมันก็เหมือนกัน 
เด็กชายสองคนคุยกันตั้งแต่แบเบาะ  พระนางสุมนา ซึ่งมีวัยเพียง ขวบ  ไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และได้นำมาตรัสถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ก็ทรงยืนยันว่า สิ่งที่เธอเห็นเป็นจริงอย่างนั้น 
พระนางสุมนาจึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อว่า “คน คน มีศรัทธา มีศีล มีปัญญาเสมอกัน แต่คนหนึ่งให้ทาน อีกคนหนึ่งไม่ให้ทาน คนทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างไร”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ให้ย่อมได้รับสิ่งอันเลิศกว่าผู้ไม่ให้ ทั้งอายุ วรรณะ สุขะ ยศ และอธิปไตย  ผู้ให้ทานเวลาไปเกิดเป็นเทวดา ย่อมได้รับของที่เป็นทิพย์อันเลิศกว่าผู้ไม่ให้ ๕  ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และอธิปไตย อายุจะยืนกว่าเทวดาที่ไม่ได้ให้ทาน วรรณะก็คือ รัศมี  ผู้ให้ก็จะเป็นเทวดาที่รัศมีสว่างกว่าเทวดาที่ไม่ได้ให้  จะมีความสุขมากกว่า มียศใหญ่กว่า มีอธิปไตย คือ มีความเป็นใหญ่  มีบริวารมากกว่า  ผู้ให้กับผู้ไม่ให้  เมื่อตายแล้วไปอยู่บนสวรรค์ก็แตกต่างกันอย่างนี้
และเมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็แตกต่างกันโดยเหตุ ประการนี้  นั่นคือตอนเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่อายุ ผิวพรรณ วรรณะ ความสุข ยศ และความเป็นใหญ่ และแม้ออกบวชแล้ว ก็แตกต่างกันโดยธรรม ประการนั้นเช่นเดียวกัน
อีกเรื่องหนึ่ง มีพระอรหันต์รูปหนึ่ง ไม่เคยทำทานเลย ได้แต่รักษาศีล และเจริญภาวนาเรื่อยมา ในชาติสุดท้าย เกิดมาก็อด อยาก แม้บวชเป็นบรรพชิตแล้วก็ยังบิณฑบาตรได้บ้างไม่ได้บ้าง  แต่ทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์  ได้ฉันอาหารอิ่มมื้อเดียวตอนก่อนจะดับขันธปรินิพพาน  โดยที่พระสารีบุตรไปบิณฑบาตมาแล้วก็เอามือจับบาตรนั้นท่านจึงได้ฉัน  นี่ผู้ที่ไม่ทำทานมาต้องอาศัยบุญของคนอื่นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแม้เป็นบรรพชิตเหมือนกัน  แต่ผู้ให้กับผู้ไม่ให้ก็แตกต่างกันด้วยอายุ วรรณะ สุขะ ยศ และอธิปไตย แต่การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นไม่แตกต่างกัน  พูดง่าย ก็คือ คนที่เป็นผู้ให้จะร่ำรวย  สมบูรณ์  มีความสุขสบายกว่าผู้ที่ไม่ให้ ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นชาวสวรรค์  ไปเกิดเป็นมนุษย์  หรือเป็นพระ  เป็นนักบวชก็ตาม  เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นทำทานบ่อย   เราจะได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบายไปทุกภพทุกชาติ

คุณครูไม่ใหญ่

วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.. ๒๕๔๔

 

5 ความคิดเห็น:

  1. ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ทั้งมนุษย์และเทวดา สาธุค่ะ

    ตอบลบ
  2. ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ทั้งมนุษย์และเทวดา สาธุค่ะ

    ตอบลบ
  3. ผู้เป็นบัณฑิตย่อมเห็นประโยชน์ของการให้
    สาธุคะ

    ตอบลบ
  4. ผู้เป็นบัณฑิตย่อมเห็นประโยชน์ของการให้
    สาธุคะ

    ตอบลบ

Facebook