ความจริงของชีวิต

ความจริงของชีวิต
คำไม่เล็กของคุณครูไม่ใหญ่ 1




พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรุปว่า
ชีวิตในสังสารวัฏสิ่งที่ควรทำคือ
“ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส”
นี่คือคำสรุปของผู้รู้
ที่เป็นแผนผังชีวิต หรือแผนที่
ที่จะทำให้เราเดินทางในสังสารวัฏได้ดีที่สุด

๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

--------------------------------

อย่าลืมว่า เราเกิดมาสร้างบารมี
และมีเวลาอยู่ในกายมนุษย์จำกัด
เราจะต้องใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่เรามี
ตั้งแต่กาย วาจา ใจ ชีวิต จิตวิญญาณ
ทรัพย์สมบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างมาสร้างบารมี

๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

สิ่งทั้งหลายทั้งปวง
จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
จะมีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครอง
ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่น
หรือไปผูกพันกันมากนัก
เอาแค่พอเป็นเครื่องอาศัย
ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นพอแล้ว

๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

การเดินทางครั้งสุดท้าย
ในนาทีวิกฤตของชีวิต
ตอนสำคัญ...เมื่อเราใกล้จะตาย
ช่วงนั้นอย่าเอาใจไปเกาะอะไร
ไม่ต้องสนใจใครๆ ทั้งนั้น
หยุดไปในกลางตัว นิ่งๆอย่างเดียว
ตรงนี้เป็น Know-how จำไว้ให้ดี

๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย และเราก็เคยตาย
กันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
ความตายไม่ใช่ของใหม่
แต่เป็นของเก่าที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
นับครั้งไม่ถ้วน

๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

--------------------------------

ทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
จะต้องเดินทางไปสู่ปรโลกด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้เลย
แม้ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม

๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

ช่วงสุดท้ายของชีวิต
ใครก็ช่วยเราไม่ได้
ความใสของใจ…
เราต้องทำด้วยตัวของเราเอง
คนอื่นได้แค่คอยชี้แนะ
คอยเป็นกำลังใจให้เท่านั้น

๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

คิดแต่เรื่องดีๆ
พูดแต่เรื่องดีๆ
และทำแต่เรื่องดีๆ
เดี๋ยวใจจะใสเอง

๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

จะประกอบอาชีพอะไรต้องคิด
ต้องเลือกให้ดี
เพราะมันสัมพันธ์กับความใสความหมองของใจ
อย่าดูแค่ว่ารวยอย่างเดียว
ต้องดูว่ารอดไหม
ถ้ารวยและรอดก็ลุย
รวยแต่ไม่รอดก็อย่าลุย ให้เลิก
หรือยับยั้งไว้...ด่วนเลย

๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด
จะต้องใช้เวลาในการสร้างบารมีให้มากๆ
เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย
เราเสียเวลาในการนอนหลับพักผ่อนไปถึง
หนึ่งในสามของชีวิต ทำมาหากินอีกหนึ่งในสาม
อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน รับประทานอาหาร
ขับถ่าย เข้าสังคม เดินทางไกลอีก เพราะฉะนั้น
เวลาที่สร้างบารมีจริงๆ มันเหลือนิดเดียว

๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

ในยุคกัปไขลง*
วันเวลาแห่งการสร้างบารมีมีไม่มาก
ส่วนใหญ่จะหมดเวลาไป
กับการนอนหลับพักผ่อน
และการทำมาหากิน
เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่
ต้องสร้างบารมีให้เต็มที่

*ช่วงที่อายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ลดลงโดยทุก ๑๐๐ ปี อายุจะลดลง ๑ ปี

--------------------------------

ความตายไม่มีนิมิตหมาย
เราจะเดินทางออกจากกายหยาบนี้ไป
เมื่อไรก็ไม่ทราบ
ชีวิตมนุษย์แค่ประเดี๋ยวประด๋าว
แต่ชีวิตหลังความตายนั้นยาวนาน
สุขก็สุขนานทุกข์ก็ทุกข์นาน

๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

เวลาชีวิตในโลกมนุษย์แค่ประเดี๋ยวเดียว
เราต้องแยกให้ออกว่า
เรื่องอะไร “ด่วน” ควรเร่งรีบทำ
เรื่องอะไร “สำคัญ” สำหรับชีวิต
“บุญ” เป็นเรื่องด่วนต้องเร่งรีบทำ
“การปฏิบัติธรรม” เป็นเรื่องสำคัญ
ต้องทำให้ได้ทุกวัน

๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

คนส่วนใหญ่ในโลกนี้
เขามีชีวิตดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น
แต่ไม่มีใคร...ดิ้นรนเพื่อจะเอาตัวรอด
ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเป็นอย่างไร
คือดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ หนึ่ง
ทำมาหากิน แข่งขัน แก่งแย่งชิงดีกันไป
แต่ว่าที่จะดิ้นรนเพื่อจะเอาตัวรอด
ไปสวรรค์ได้นั้น...มีไม่กี่คน

๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

เรื่องของชีวิตมันซับซ้อน
เราอย่ามีชีวิตอยู่เพียงแค่เพื่อความอยู่รอด
เก่งในเรื่องทำมาหากินอย่างเดียว...มันไม่พอ
ต้องเอาตัวให้รอดด้วย
รอดจากอบาย รอดจากภัยในวัฏสงสาร
รอดขึ้นไปเกิดบนสวรรค์
และรอดจากกิเลสอาสวะไปสู่นิพพาน

๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

โลกยังขาดแคลนความรู้ที่แท้จริง
จึงไม่ได้ทำงานที่แท้จริงเสียที
มีความรู้แค่เพื่อการดำรงชีพ
เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น
แต่ความรู้ที่จะเอาตัวให้รอด
ยังไม่ได้ให้ความสำคัญเลย
เพราะฉะนั้นชาวโลกตอนนี้
แม้อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า
แต่ความจริงแล้วยังมืดภายในอยู่
เพราะยังไม่รู้หนทางที่จะดำเนินชีวิตกันอย่างไร

๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

ชาวโลกอาจเข้าใจดีเรื่องโลกนี้
แต่เรื่องปรโลก *ยังไม่ค่อยเข้าใจ
เขามีความรู้อย่างสมบูรณ์เรื่องโลกนี้
แต่ความรู้เรื่องปรโลกเขายังไร้เดียงสา
ซึ่งเป็นโลกที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราปฏิเสธการไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้
แต่ปรโลก...เราปฏิเสธไม่ได้

๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕

*โลกอื่น หรือ ชีวิตหลังความตาย

--------------------------------

ละโลกแล้วเราต้องไปสู่ปรโลก
เราจะเอาความเชี่ยวชาญ
ในเมืองมนุษย์ไปใช้ในปรโลกไม่ได้
เพราะในปรโลกไม่มีการทำมาหากิน
เขาเป็นอยู่ได้ด้วยบุญและบาปเท่านั้น

๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นความรู้สากล ที่ทุกคนในโลกจะต้องศึกษา
เพื่อจะได้นำกลับมาพัฒนาตนเอง
จะทำให้ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง
ปิดอบาย ไปสวรรค์
มีสุขในปัจจุบัน และดับทุกข์ได้
ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้ายังไม่ได้ศึกษา
เราจะไม่มีวันทำได้ถูกต้อง...ตรงนี้อันตราย

๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

--------------------------------

สิ่งที่จะต้องเรียนรู้นอกเหนือจากวิชาชีพแล้ว
ควรจะเรียนวิชชาชีวิตด้วย
วิชาชีพทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้
แต่วิชชาชีวิตทำให้ชีวิตที่เรามีอยู่นั้น
เกิดคุณค่าอันสูงส่ง
มีสุขทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อตัวเราและชาวโลก

๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

นรกสวรรค์มีจริง
พิสูจน์ได้ด้วยพุทธวิธี

๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

อย่าไปสรุปว่า “นรกสวรรค์ไม่มี”
เพราะเราไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่เคยเห็นใครเห็น
แล้วสรุปว่า “ไม่มี” ไม่ได้
บางอย่างที่เราไม่เห็น
ไม่ได้แปลว่า ไม่มี
เพราะคนที่เขาเห็นมีอยู่

๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

--------------------------------

เราอย่าเพิ่งไปสรุปเอาว่า
นรกสวรรค์เป็นเรื่องไกลตัว ไม่มีจริง
มันไม่ใช่เรื่องไกลตัว
แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัว
เพราะทุกการกระทำ
จะมีผลโยงไปถึงภพภูมิหลังความตาย

๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

--------------------------------

นรกสวรรค์มีจริง
ไม่ใช่สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
หรือคิดว่า เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่
นั่นสำหรับคนที่เขาอยากจะทำอะไรก็ได้ เขาก็
มีเหตุผลที่สวยงามอย่างนั้น เราอยากจะไปรู้
ตอนเป็น หรือว่าจะเห็นตอนตาย ถ้าศึกษาเรียนรู้
ตอนเป็นก็มีโอกาสแก้ไขตัวเราได้ แต่ถ้าไปเห็น
ตอนตาย นั่นหมดสิทธิ์แล้ว นรกสวรรค์สามารถ
พิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเอง จุดเริ่มต้นให้เข้าถึง
พระในตัวก่อน

๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔

--------------------------------

การไปสวรรค์ ไม่ง่ายนะ
เพราะคนส่วนใหญ่จะไปนรกกันเสียมากกว่า
โบราณจารย์ท่านอุปมาไว้ว่า
ในวัวตัวหนึ่ง มีเขาเพียงคู่เดียว
แต่มีขนปริมาณมาก
คนไปตกนรกปริมาณมากเหมือนขนโค
ไปสวรรค์มีปริมาณน้อยแค่เขาโค

๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

เราไม่ควรเอาชีวิตของเราไปเสี่ยง
โดยเลี่ยงการทำความดี
ตอนที่ยังแข็งแรงอยู่ แล้วไปหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า
ไปแสวงหาความใส
ตอนใกล้จะถึงวันสุดท้ายของชีวิต
มีคนเพียงจำนวนน้อย ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
ที่โชคดี ดังนั้นเราอย่าเสี่ยงเลย เพราะถ้าพลาด
พลั้งไป ชีวิตในปรโลกนั้นยาวนาน เป็นหมื่น
เป็นแสน เป็นล้าน เป็นหลายๆ ล้านปี เป็นกัป
เป็นมหากัป...ยาวนานมาก เพราะฉะนั้นอย่าไป
เสี่ยง

๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

สัตว์ต่างๆในโลกนี้
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ๒ เท้า, ๔เท้า, สัตว์ปีก เป็นต้น
ล้วนก็คืออดีตมนุษย์
ที่ดำเนินชีวิตผิดพลาด ผิดกฎแห่งกรรม
.....อยู่ในภูมิของอบาย.....

๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔

--------------------------------

“กฎแห่งกรรม”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งขึ้น
แต่พระองค์ไปรู้ไปเห็นมา
แล้วมีมหากรุณาจึงนำมาสั่งสอนสัตว์โลก
เพราะความสงสาร
กฎแห่งกรรมนี้ตั้งขึ้นโดยผู้มีฤทธิ์
มีอานุภาพมาก
เป็นฉากหลังบังคับหมด
ทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายสรรพสิ่งทั้งปวง
ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น

๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

กฎแห่งกรรม
ไม่มีเปลี่ยนแปลงไม่มีละเว้น
แต่กฎหมายเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ในทุกภูมิภาคทั่วโลกก็ยังมีแตกต่างกันไป
ตามความจำเป็น
แต่กฎแห่งกรรมคงที่ ไม่มีเปลี่ยนแปลง
บางอย่างถูกกฎหมาย แต่ผิดกฎแห่งกรรม
ถึงแม้ไม่ติดคุก แต่ก็ไปอบาย

๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

กฎแห่งกรรมหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในน้ำ บนบก ยอดเขา
ในอวกาศ ดวงดาวต่างๆ จะอยู่ในโลกนี้ หรือใน
จักรวาลไหนก็ตาม ตราบใดที่เรายังมีการกระทำ
ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ไม่ว่าดีหรือชั่ว แม้จะ
เล็กน้อยเพียงไร จะเจตนา ไม่เจตนา ล้วนมีผล
ทั้งสิ้น มันจะติดตามตัวเราไปเหมือนเงาตามตัว
ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้เอาไว้

๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

ชีวิตในสังสารวัฏอันตราย
ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่
ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น
คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ปลูกถั่วก็เป็นถั่ว ปลูกงาก็เป็นงา
ปลูกถั่วจะไปเป็นงาไม่ได้
ปลูกงาจะไปเป็นถั่วไม่ได้
ยกเว้น...คนตาถั่ว

๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

ถ้าดีชั่วรู้หมด...อดได้
ส่วนมากดีชั่วรู้ไม่หมด จึงอดไม่ได้
รู้หมด คือ ต้องรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
ถ้าดีชั่วรู้หมดอย่างนี้...อดได้แน่นอน

๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

--------------------------------

ถ้ากลัวความตาย
ต้องหันหน้าไปพิจารณาความตาย
และสั่งสมบุญเอาไว้เยอะๆ
ด้วยทาน ศีล ภาวนา
แล้วความกลัวตายก็จะหมดสิ้นไป

๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

สำหรับคนที่กลัวความตาย
ในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่
หมั่นสั่งสมบุญบารมีเอาไว้เยอะๆ
ด้วยทาน ศีล ภาวนา
ให้ใจเราบริสุทธิ์ผุดผ่องมากๆ
แล้วความกลัวตายก็จะหมดสิ้นไป
เพราะเรามีที่พึ่งภายใน
มีทั้งบุญ มีทั้งธรรมะ มีความดีงามเป็นที่พึ่ง
ต้องฝึกทำทุกวันทุกคืนให้ติดเป็นนิสัย

๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

ถ้าเรารักตัวเอง
ก็ต้องหมั่นสั่งสมเติมบุญ เติมบารมี
เติมความบริสุทธิ์ในตัวของเราให้มากๆ

๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

--------------------------------

รีบชิงช่วงสร้างบารมี
ก่อนที่จะถูกช่วงชิงไปสู่ปรโลก
เพราะเราไม่รู้ภพชาติในอดีต
เราทำผิดทำพลาดอะไรมาบ้าง

๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

--------------------------------

ระบบการควบคุมชีวิตมี ๓ อย่าง
คือ บุญ บาป และไม่บุญไม่บาป
ธรรม ๓ ประการนี้
มีฤทธิ์มีอานุภาพมากพอๆ กัน

๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

ถ้ามีบารมีมาก
เราจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตได้ง่าย
อุปสรรคของชีวิตก็มีน้อย
ถ้าบารมีน้อยเราจะเข้าใจได้ยาก
อุปสรรคก็มาก

๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖

--------------------------------

อย่าถือสาข้อผิดพลาดของเพื่อนมนุษย์
ไม่ถือก็ไม่หนัก และไม่ต้องทน
ทำความเข้าใจว่า
เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้นเอง
และเราก็เป็นของเราเช่นนี้เอง
เราก็ยังมีกิเลส และดวงปัญญาเราก็ยังไม่สมบูรณ์

๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

--------------------------------

แม้มีทิพยจักษุ แต่ถ้าไม่ใช้ก็ไม่เห็น
เหมือนเรามีกล้องส่องทางไกล
แล้ววางไว้ข้างๆ ตัว
ถ้าไม่หยิบขึ้นมาใช้ก็มองระยะไกลไม่เห็น

๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔

--------------------------------





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Facebook