แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ง่ายแต่ลึก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ง่ายแต่ลึก แสดงบทความทั้งหมด

ประโยชน์ของสมาธิ

       ตรึกให้ได้ตลอดเวลานะลูกนะ
มองดูพระมองดูดวงช่วงไสว
อิริยาบถทั้งสี่นี้เรื่อยไป
แต่อย่าใช้นัยน์ตาเวลามอง
ทำเหมือนว่าไม่มีหัวและดวงตา
มีเพียงหนึ่งกายาและใจสอง
ค่อยค่อยหยุดค่อยค่อยนิ่งค่อยค่อยมอง
เดี๋ยวจะร้องก้องฟ้า สุขจังเล้ย
                                                        ตะวันธรรม

ประโยชน์ของสมาธิ
ง่าย..แต่..ลึก 1





(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ............)
...ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบา ๆ พอ
สบาย ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อ
ทั้งตัวให้รู้สึกสบาย ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้
ดีนะ แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบานแช่มชื่น ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง ให้ปลดปล่อยวาง คลายความผูกพันจากคนสัตว์
สิ่งของ แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
อย่างเบาสบาย แล้วก็ผ่อนคลาย


ให้นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
จนกระทั่งถึงปัจจุบันชาติ รวมทุก ๆ บุญ บุญเล็ก บุญน้อย บุญปานกลางบุญใหญ่ บุญทุกชนิด ทั้งสาธารณกุศลสงเคราะห์โลก สร้างโบสถ์ วิหารศาลาการเปรียญ ทอดกฐิน ผ้าป่า ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา เป็นต้น


รวมมาเป็นดวงบุญใส ๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์
ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ให้นึกเบา ๆ อย่างสบาย ๆ นึกด้วยความปลื้มปีติว่า วันเวลาที่ผ่านมา
เราได้สั่งสมบุญบารมีของเราเอาไว้ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเราทั้งในมนุษย์
และในเทวโลก


ให้เรานึกอย่างนุ่ม ๆ นิ่ง ๆ เบา ๆ สบาย ๆ อย่าไปเค้นภาพ
อย่าไปเน้น ให้นึกอย่างนุ่มนวล แล้วก็ผ่อนคลาย ทำใจให้ใส ๆ
เย็น ๆ เกิดเราเผลอไปเน้นภาพ เราก็เผยอเปลือกตาขึ้นมานิดหนึ่ง
เหมือนเราปรือ ๆ ตา แล้วก็เริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ โดยไม่เสียดาย
สิ่งที่เราได้เคยเห็นมาก่อน และก็เริ่มต้นใหม่ ค่อย ๆ นึก นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ
เบา ๆ สบาย ๆ


เมื่อเราทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ทุกวันทุกคืน นาน ๆ เข้าก็จะเกิด
สภาวะจิตที่บริสุทธิ์ จิตจะบริสุทธิ์จากสิ่งเศร้าหมองทั้งหลาย จนเห็น
ความบริสุทธิ์ภายในได้ เป็นดวงใส ๆ ที่มาพร้อมกับความสุข สุขที่ไม่มี
ประมาณ ความสุขนั้นก็จะขยายสู่ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้
เราสุขกายสุขใจ แล้วก็ขยายออกไปสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดกระแสแห่งความสุขที่มีอานุภาพ มีพลัง ที่ทำให้ใครได้เห็นเรา ได้เข้าใกล้เราก็จะพลอยมีความสุขตามไปด้วย


จะประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมา อะระหัง
ไปด้วยก็ได้ ให้เสียงดังออกมาจากกลางท้องของเรา เหมือนมา
จากแหล่งแห่งความสุข ความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งอานุภาพอันไม่มี
ประมาณ มาขจัดสิ่งที่เป็นบาปอกุศลให้หมดสิ้นไป เหลือแต่ใจ
ที่ใส ๆ เย็น ๆ เราจะประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาอย่างนั้นไปด้วย
ก็ได้ จนกว่าใจไม่อยากจะภาวนาต่อไป


คำภาวนาจะใช้ประคองใจเท่านั้น เมื่อเราหมดความจำเป็น
พอเราสามารถทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่งนิ่งอย่างเดียวได้ เราก็ไม่
ต้องประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมา อะระหัง อีก แต่ว่าเมื่อใด
ใจเราฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราจึงค่อยย้อนกลับมาภาวนา สัมมา อะระหัง
ใหม่ ก็ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้


ส่วนใครที่คุ้นเคยกับภาพองค์พระ ก็จะนึกภาพองค์พระแก้ว
ใส ๆ แทนก็ได้ แต่วิธีการนึกต้องแบบเดียวกัน อย่าเน้น อย่าเค้นภาพ
อย่าเพ่ง อย่าจ้อง ให้นึกเบา ๆ สบาย ๆ ต้องผ่อนคลาย เพราะว่า
เส้นทางสายกลางภายในนั้น ต้องผ่อนคลาย เป็นเส้นทางแห่ง
ความสุข จะไม่มีอาการตึงเครียดหรือทุกข์เลย มีแต่สุขที่เพิ่มขึ้น
เมื่อเราทำบ่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ ชำนาญ ภาพก็จะปรากฏชัดใสแจ่ม
กระจ่างกลางกาย เป็นดวงใส ๆ องค์พระใส ๆ


เมื่อเราทำบ่อย ๆ ก็คุ้นเคย ใจก็จะแล่นเข้าไปสู่ภายในกลาง
ของทุกสิ่งที่เราเห็น ถ้าเห็นดวง ใจก็จะมุ่งเข้ากลางดวง ถ้าเห็นกาย
ภายใน ใจก็จะมุ่งเข้าไปสู่กายภายใน เห็นองค์พระ ใจก็จะมุ่งไปสู่
กลางองค์พระที่ใส ๆ เป็นแนวดิ่งลงไป ที่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง
แต่ว่าอย่าไปเน้น อย่าไปกำกับ อย่าไปคิดนำ อย่ากลัวช้า ใจใส ๆ
เดี๋ยวจะเคลื่อนเข้าไปเอง แล่นเข้าไปเอง ถ้าถูกส่วนแล้วจะขยาย
สุขจะเพิ่มขึ้น แม้เห็นชัดเท่าลืมตาเห็นแล้ว หรือยิ่งกว่าลืมตาเห็น
ก็ตาม ก็ยังต้องใช้วิธีการเดิมที่ถูกต้อง คือนิ่งอย่างเดียว อย่างนุ่ม ๆ
สบาย ๆ สุขจะเพิ่มขึ้น ภาพก็จะเพิ่มขึ้น ความบริสุทธิ์จะเพิ่มขึ้น


แต่ถ้าหากเราไปเน้น ไปลุ้น ไปเร่ง เพ่งหรือจ้องโดยไม่รู้ตัว
เราจะสังเกตได้ว่าภาพภายในมันจะชะลอช้าลง ปริมาณแห่งความ
สุขก็จะลดลง ลดลงในระดับที่เราไม่ชอบ แล้วถ้าเราจะฝืนดันต่อ
ไปอีก สุขก็ยิ่งลดลงไปอีก เพราะทำผิดวิธี ทั้ง ๆ ที่เราทำถูกมาใน
ระดับหนึ่งแล้วนี่สำคัญนะลูกนะ เวลาไปอยู่ที่บ้านเราไปนั่งส่วนตัว
ตามลำพัง ต้องจำวิธีการนี้เอาไว้ให้ดีนะ


ปีนี้เราจะต้องปฏิบัติธรรมให้ดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากวัน
เวลาที่เหลืออยู่ข้างหน้านี้สั้นลงไปทุกวัน มรณภัยจะมาถึงเราเมื่อไร
ก็ไม่ทราบ เราจะพลัดพรากจากกายหยาบนี้ ในโลกใบนี้เมื่อไร
ก็ไม่ทราบ เพราะฉะนั้นดีที่สุดก็คือ ฝึกใจให้หยุดนิ่งอย่างถูกหลัก
วิชชาให้มีสติ สบาย และสม่ำเสมอ


แล้วก็หมั่นสังเกตว่าเราทำอย่างไรใจถึงแล่นเข้าไป
สู่ภายในเรื่อย ๆ ทำอย่างไรใจถึงถอนออกมา แล้วเราก็
ค่อย ๆ ปรับปรุงวิธีการให้ถูกหลักวิชชา ประกอบความ
เพียรให้กลั่นกล้า ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นบรรพชิตก็จะบวช
อยู่อย่างมีความสุข มีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจไปทุกวันทุกคืน
ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งใจเราได้เลย


ถ้าเป็นคฤหัสถ์ก็จะมีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจเช่นกัน
แม้ว่าจะต้องทำมาหากิน ทำมาค้าขาย ทำมาสร้าง
บารมี จะมีปัญหาแรงกดดันอะไรมา หนักก็จะเป็นเบา
เบาก็จะหาย ร้ายก็จะกลายเป็นดี ดีอยู่แล้วก็ดีเพิ่มขึ้น
เป็นดีเลิศ เพราะฉะนั้นต้องหมั่นฝึกฝนไปเรื่อย ๆ นะ
ลูกนะ หมั่นฝึกหยุดฝึกนิ่ง นุ่ม ๆ ให้ใส ๆ อย่าให้ขาด
เลยแม้แต่เพียงวันเดียว


ถ้าเราทำได้คล่อง ได้ชำนาญแล้ว บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จนชำนาญ ต่อไป
เราก็จะได้ค่อย ๆ ศึกษาเรียนรู้วิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ ให้หายสงสัยด้วยตัวของเราเอง เพราะยังมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ
ตัวเราที่ยังเป็นความลับของเราอยู่ เราจะต้องทำให้สิ่งเหล่านี้ไม่เป็น
ความลับของเราอีกต่อไป


โดยเฉพาะอย่างน้อยต้องให้รู้จักว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่
ภายในตัวของเรานี่เอง ภายในมีแสงสว่างส่องทางชีวิตที่เห็นได้
เข้าถึงได้ และมีความแตกต่างจากแสงภายนอก และแสงสว่างที่
ส่องทางชีวิตนี้ทำให้เราเห็นชีวิตอีกหลายระดับ ที่แต่ก่อนเป็นความลับของเราก็จะถูกเปิดเผย


เมื่อเราได้เห็นชีวิตของกายมนุษย์ละเอียด ที่แตกต่างจากชีวิต
ของกายมนุษย์หยาบ


เห็นชีวิตของกายทิพย์ ที่แตกต่างจากชีวิตของกายมนุษย์ละเอียด
เห็นชีวิตของกายรูปพรหม ที่แตกต่างจากกายทิพย์
เห็นชีวิตของกายอรูปพรหม ที่แตกต่างจากชีวิตของกายรูปพรหม
เห็นชีวิตของพระธรรมกายที่แตกต่างกว่าทุก ๆ ชีวิตที่ผ่านมา


จะแจ่มแจ้งหายสงสัยด้วยตัวของเราเอง รู้จักเนื้อหนังแท้ ๆ
ของพระรัตนตรัยคืออะไร ไม่ใช่ได้ยินแค่ชื่อ แต่เข้าถึงได้และเห็นได้
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่านได้


เราจะรู้จักคำว่า “พุทธรัตนะ”

ทำไมเอาคำว่า “พุทธะ” มาเกี่ยวกับคำว่า “รัตนะ” เราจะ
หายสงสัย แล้วก็แจ่มแจ้งขึ้นที่ว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” แล้ว ที่เป็น
รัตนะจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำอุปมานั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ชีวิตที่เป็น
แก้วที่ใสกว่ารัตนะใด ๆ ในโลกมนุษย์ หรือในโลกอื่น หรือในเทวโลก
มีลักษณะอย่างไร


ทำไมถึงได้ชื่อว่า “เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของเรา”
ทำไมถึงได้ชื่อว่า “เป็นสรณะ”
เมื่อเข้าถึงแล้วเราก็จะแจ่มแจ้ง เมื่อแจ่มแจ้งก็หายสงสัย


พอหายสงสัยก็เกิดปีติสุข เบิกบาน อาจหาญ ร่าเริง อยากจะ
ทำความเห็นให้ถูกต้องเพิ่มขึ้น ความเห็นถูกก็จะยิ่งเกิดขึ้น เมื่อใจเรา
เข้าถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ และก็ถึงสังฆรัตนะ


รู้จักว่าทำไมเรียกว่า “พุทธรัตนะ”

ทำไมลักษณะอย่างนี้จึงเรียกว่า “ธรรมรัตนะ”
ลักษณะอย่างนี้ทำไมถึงเรียกว่า “สังฆรัตนะ”


จะไปเข้าถึงเนื้อแท้จริง ๆ เลย ทั้งสามอย่างนี้อยู่รวมกัน แยก
ออกจากกันไม่ได้ แต่ทำหน้าที่กันคนละอย่าง เหมือนดวงตา หู จมูก
ปาก ที่ติดอยู่บนใบหน้าของเรา แต่ทำหน้าที่กันคนละอย่าง เรียกชื่อ
กันคนละอย่าง แต่อยู่รวมกัน รัตนะทั้งสามนี้ก็เช่นเดียวกัน


เราจะเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ได้ ต่อเมื่อเราเข้าถึงรัตนะทั้ง
สามดังกล่าวนี้ที่มีอยู่ภายในตัวของเรา ซึ่งถูกเปิดเผยด้วยตัวของ
เราเอง เมื่อใจของเราหยุดนิ่งนุ่มเบาสบายในตำแหน่งที่ตั้งของ
พระรัตนตรัย


เราจะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ปลื้มปีติและภาคภูมิใจว่า เรามีบุญ
มากที่ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ จะซาบซึ้งกว่าที่เคยเป็น และจะซาบซึ้ง
ไปถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กระตุ้นให้เราอยากเรียนรู้เพิ่มขึ้นในสิ่งที่เป็นจริงและมีประโยชน์ ทั้งประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในอนาคต แล้วก็ประโยชน์อย่างยิ่งที่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์


เราจะรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตด้วยตัวของเราเอง
หายสงสัยด้วยตัวของเราเอง อยู่เป็นสุขด้วยตัวของเราเองแม้อยู่
ตามลำพังก็ตาม อยู่โคนไม้ก็เป็นสุข อยู่ในป่าในเขาก็เป็นสุข อยู่ในที่
ทุรกันดารก็เป็นสุข เพราะใจเราไม่เกิดความทุรกันดาร มีสุขอยู่ภายใน
อิริยาบถทั้ง ๔ นั่งก็เป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข นอนเป็นสุข ใช้
อิริยาบถทั้ง ๔ ได้สมบูรณ์อย่างเป็นสุข


จะเข้าใจคำว่า “อยู่เย็นเป็นสุข” มากยิ่งขึ้นว่าอยู่ที่ตรงไหนมัน
ถึงเย็นแล้วก็เป็นสุข แล้วเอาอะไรไปอยู่ตรงนั้น ซึ่งเมื่อเราหยุดนิ่งที่
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้นแล้ว เราก็จะรู้จักว่าอยู่เย็นเป็นสุข
เขาอยู่กันตรงนี้นะ ใจก็จะใส ๆ เบิกบานอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้รู้แล้ว
รู้เรื่องความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวของเราเอง รู้จักตัวเราเองแล้ว ตื่นจาก
โลกมายาไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ที่มีแต่เรื่องจริงล้วน ๆ ที่อยู่
ภายใน ใจก็เบิกบาน ชุ่มชื่น เป็นสุขอยู่ตลอดเวลาเลย


เป้าหมายหลักใหญ่จริง ๆ ของการเกิดมาเป็นมนุษย์
ของทุกชีวิตก็เพื่อปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ภายใน นี่คือชีวิตที่แท้จริงของเรา ส่วนการทำมาหากิน
แค่เป็นชีวิตในระดับผิวเผิน ไม่ใช่เป้าหมายหลัก


ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เราพบปะเจอะเจอในปัจจุบัน ไม่ใช่
สรณะ ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึก เป็นแค่เครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่
ของจีรังยั่งยืนอะไร เราจึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น หรือไปผูกพัน
อะไรมากมายนัก กะแค่พอดี ๆ เพียงแค่เราอิ่มปากอิ่มท้อง ให้เรา
มีชีวิตอยู่เพื่อการปฏิบัติธรรมและการสร้างบารมีเท่านั้นเอง เพราะ
ฉะนั้นเราต้องปลดปล่อยวางภารกิจเครื่องกังวลทั้งหลายในโลกนี้ออก
ให้หมด


ถ้าหากเราไม่เข้าถึงพระธรรมกาย ชีวิตของเรายังไม่ปลอดภัย
ยังว้าเหว่ ยังหงอยเหงาอยู่ เหมือนคนว่ายน้ำอยู่ในกลางท้องทะเล
มหาสมุทร จะต้องพบปะเจอะเจอภยันตรายนานาชนิด ตั้งแต่


ประโยชน์ของสมาธิ

สัตว์ร้าย คลื่นลม ตลอดจนกระทั่งหมดแรงจมน้ำตายอย่างนั้น เมื่อไร
เราขึ้นเกาะได้เราจึงจะปลอดภัย


ในทะเลของชีวิตก็เช่นเดียวกัน มีเกาะแห่งธรรมซึ่งเป็นที่พึ่ง
และที่ระลึก พระพุทธเจ้าตรัสไว้


ธมฺมทีปา ธมฺมสฺสรณา นาญฺญสฺสรณา
มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง สิ่งอื่นไม่ใช่
นี่พระพุทธเจ้าท่านยืนยันอย่างนี้


เพราะฉะนั้นในทะเลชีวิตที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร
ถ้ายังขึ้นเกาะไม่ได้ก็มีความสะดุ้งหวาดเสียว มีแต่ความทุกข์
ทรมานอยู่ตลอดเวลา ถ้าขึ้นเกาะได้แล้วชีวิตนี้ก็จะเปี่ยมไปด้วย
ความสุข ความสุขที่เป็นอมตะ เป็นความสุขที่แท้จริง


เพราะฉะนั้น ธมฺมทีปา ธมฺมสฺสรณา มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรม
ที่เป็นที่พึ่ง นาญฺญสฺสรณา สิ่งอื่นไม่ใช่ นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า
เราจะต้องพยายามปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้


ถ้าหากเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจะได้ดำเนินชีวิตของเราต่อไป
เพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย ไม่ว่าเราจะนั่งนอนยืนเดิน หรือจะทำอะไร
ก็แล้วแต่ เราต้องเอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ใจมันคุ้น
ให้ใจมันเชื่องอยู่กับบริเวณนี้ เพราะเราทราบดีแล้วว่า พระธรรมกาย
อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ทำไมเราถึงจะ
ต้องเอาใจไปจรดไว้ที่อื่นล่ะ ก็ควรจะเอาใจมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ อย่างนี้อย่างเดียว ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต


เพราะเรารู้ว่า เกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายชีวิต เมื่อรู้แล้วก็จะ
เอาใจหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ ตรึกหยุดนิ่ง
จนกระทั่งถูกส่วน ถูกส่วนก็เห็นดวงใสสะอาดบริสุทธิ์เกิดขึ้นมา
ที่ศูนย์กลางกายตรงนี้ ให้เข้าใจกันอย่างนี้นะ ต่อจากนี้ต่างคนต่าง
ทำกันไปเงียบ ๆ

อาทิตย์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เสาร์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙


ประโยชน์ของสมาธิภาวนา ๔ ประการ

• สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญให้มากแล้วย่อมเป็นไป
เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
• สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญให้มากแล้วย่อมเป็นไป
เพื่อญาณทัสสนะ
• สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญให้มากแล้วย่อมเป็นไป
เพื่อสติสัมปชัญญะ
• สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญให้มากแล้วย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นอาสวะ
ที.ปา. (ไทย) 11/307/279 .

0

แผ่เมตตาและอธิษฐานจิต

    ไม่ได้ไม่เลิกร้าง ราไกล
ทิ้งชีพนิ่งลงไป กลางนั้น
ฟ้าถล่มดินทลาย ไม่เลิก
นิ่งหยุดลุยสะบั้น กว่าเข้าถึงธรรม
                                  ตะวันธรรม

แผ่เมตตาและอธิษฐานจิต
ง่าย..แต่..ลึก 1




(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ...)
        ให้ผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัว แล้วก็นึกถึงบุญที่เราทำผ่านมานับ
ภพนับชาติไม่ถ้วนมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ที่เราได้มานั่งฟังธรรมกัน ได้
สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย มารวมเป็นดวงบุญใส ๆ ติดอยู่ที่ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
เป็นดวงบุญที่ใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลยหรือใสเหมือนน้ำแข็ง เหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้า ให้ใสบริสุทธิ์กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ


ให้ใจหยุดนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆ สบาย ๆ ไปที่กลางดวงบุญนั้น
ที่อยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา แม้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เพราะ
ดวงบุญก็มีอยู่แล้วในตัวของเรา ต่างแต่ว่าเป็นของที่ละเอียดบริสุทธิ์


เราจะเห็นได้เมื่อใจของเราละเอียดเท่ากับดวงบุญนั้น ซึ่งใจจะ
ละเอียดได้นั้นก็ต้องหยุดใจนิ่ง นุ่ม เบาสบายอย่างต่อเนื่อง พอ
ถูกส่วนก็จะเห็นเอง เกิดขึ้นที่กลางกายใสบริสุทธิ์ประดุจเพชร
หรือยิ่งกว่านั้น ใสเกินความใสใด ๆ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและ
ความสำเร็จในชีวิตของเรา ตั้งแต่ปุถุชนจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า
เพราะฉะนั้นให้เอาใจหยุดนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆ สบาย ๆ


แล้วก็ทำความรู้สึกเหมือนตัวของเราขยายใหญ่ขึ้น ดวงบุญ
ของเราก็ขยายใหญ่ขึ้นครอบคลุมตัวของเรา ขยายใหญ่ขึ้นครอบคลุม
สมาชิกภายในบ้านของเรา หรือผู้อยู่ที่ใกล้เคียง ให้ทุกคนได้รับ
กระแสธารแห่งบุญนี้ และทำให้เกิดความบริสุทธิ์ และความสุขขึ้น
มาในใจ นึกขยายให้ครอบคลุมบ้านของเรา เพื่อนบ้านของเรา ไปทั่ว
หมู่บ้าน นึกขยายให้ครอบคลุมไปถึงตำบล ให้คนทั้งตำบล สรรพสัตว์
ทั้งหลาย มีแต่ความสุขความเจริญ พ้นจากทุกข์โศกโรคภัย และสิ่ง
ที่ไม่ดีทั้งหลาย


ให้ขยายให้ครอบคลุมอำเภอ จังหวัด ประเทศ ประเทศ
เพื่อนบ้าน นานาชาติทั่วโลกใบนี้ ให้โลกใบนี้ใสเป็นแก้ว เป็นเพชร
ให้สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ ให้ใสบริสุทธิ์
ปราศจากมลทิน ที่ทำให้เกิดทุกข์ทรมานของชีวิต ให้มีแต่ความ
สุขกายสบายใจ ให้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ปิดอบายไปสวรรค์ มีความ
สุขในปัจจุบัน มีความรักและปรารถนาดีซึ่งกันและกัน


ให้ใจของเราขยายออกไปยังจักรวาลน้อยใหญ่ ครอบคลุม
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลาย หมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิโลก
ธาตุ อนันตจักรวาล ให้ขยายไปให้ทั่วถึงภพทั้ง ๓ ทั้งกามภพ รูปภพ
อรูปภพ


แผ่เมตตาและอธิษฐานจิต

       ให้สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจาก
มลทินที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานของชีวิต ให้ทุกคนสุขกาย
สบายใจ ให้ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ให้มีความรักและปรารถนา
ดีซึ่งกันและกัน ปราศจากความหวาดระแวงกัน ปราศจากความเป็น
ปรปักษ์ซึ่งกันและกัน ปราศจากความรู้สึกที่เป็นอริเป็นข้าศึกศัตรู
ซึ่งกันและกัน ปราศจากความขัดแย้งกัน ให้มีแต่ความรักและ
ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน


ส่วนใครที่หยุดใจได้แล้ว เห็นดวงธรรมชัดใสสว่างกระจ่างอยู่
กลางกาย เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอกหรือยิ่งกว่านั้น ก็ให้ใจ
หยุดอยู่ในกลางดวงธรรมนั้น ใครหยุดใจได้เข้าถึงกายภายใน จะเป็น
กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหมหรือกายอรูปพรหม ก็ให้
หยุดไปที่กลางกายนั้นอย่างสบาย ๆ ใครที่เข้าถึงพระธรรมกายภายใน
เห็นได้ชัดใสแจ่มกระจ่างอยู่กลางกาย เหมือนอยู่กลางอวกาศที่
โล่ง ๆ ว่าง ๆ ก็หยุดไปในกลางองค์พระ


พอถูกส่วนองค์พระท่านก็จะขยายออกไป แล้วก็มีองค์ใหม่
ผุดผ่านมาในกลางนั้นมาแทนที่เดิม แต่ว่าใสกว่า สว่างกว่า
บริสุทธิ์กว่า และมีอานุภาพมากกว่า ที่จะทำให้กายวาจาใจของเรา
ใสสะอาดบริสุทธิ์ตามท่านไปด้วย ให้หยุดใจกันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ
นิ่งไปเบา ๆ สบาย


แล้วเราก็อธิษฐานจิต ด้วยอานุภาพแห่งบุญทุกบุญดังกล่าว
กระทั่งบุญที่เราได้เจริญสมาธิภาวนา ให้เราสมบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภยศสรรเสริญสุข มรรคผลนิพพาน วิชชา
ธรรมกาย เกิดมาก็ให้ระลึกชาติได้ เห็นธรรมะกันตั้งแต่ยังเยาว์วัย
สร้างบารมีเรื่อยไปจนกระทั่งหมดอายุขัยไปทุกภพทุกชาติ ตราบจน
กระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม


บาปกรรมอันใดที่ทำให้จิตใจตกต่ำนำไปสู่อบายก็อย่าได้กระทำ
ให้ดำเนินชีวิตถูกต้อง ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต คิดสร้างบารมี
อย่างเดียวไปจนกระทั่งหมดอายุขัย เมื่อละโลกไปก็ให้ไปพักกลางทางที่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตพระโพธิสัตว์


เมื่อถึงเวลาที่จะลงมาสร้างบารมี ก็ให้มีอุปกรณ์ในการสร้าง
บารมีให้สมบูรณ์ ที่จะทำให้ได้สร้างบารมีได้สะดวกสบายจนกระทั่ง
หมดอายุขัยไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม


ส่วนปัจจุบันชาตินี้เรายังสร้างบารมีอยู่ ให้ร่างกายเราแข็งแรง
ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ให้มีอายุยืนยาว สร้างบารมมีกันไปนาน ๆ  ให้มีสายสมบัติเชื่อมโยงทรัพย์หยาบให้เราได้มาสร้างบารมีอย่างไม่รู้
จักหมดจักสิ้น ให้ครอบครัวอบอุ่น เป็นครอบครัวแก้ว ครอบครัว
ธรรมกาย ครอบครัวตัวอย่างของโลก ให้เราได้เข้าถึงธรรมะที่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ และคุณยายอาจารย์ฯ
ท่านได้บรรลุอย่างสะดวกสบาย อย่างง่ายดาย อย่างถูกต้องตรงไป
ตามความเป็นจริงทุกประการ ก็อธิษฐานกันไปอย่างนี้นะ

เสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

0

นั่งมาตั้งนานทำไมไม่ได้ผลสัก

นั่งมาตั้งนานทำไมไม่ได้ผลสักที
ง่าย..แต่..ลึก 1




ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบา ๆ พอ
สบาย ๆ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวเรา
เดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกัน จัดท่านั่งให้ถูกส่วน แล้วมัน
จะไม่ค่อยเมื่อย ขยับให้ดีทีเดียว ของใครของมันนะ ปรับให้ดี

แล้วก็เริ่มต้นอย่างง่าย ๆ หลับตาเบา ๆ พอสบาย ๆ ก็ให้สังเกตดู
หรือใช้เวลาสัก ๑ นาที สังเกตทั้งท่านั่ง ทั้งการหลับตา การวางมือของเราที่ซ้อนกัน มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเราเกร็งหรือตึงบ้างไหมให้สังเกตสักนาทีหนึ่งนะ เพราะทุกส่วนของร่างกายต้องผ่อนคลายจึงจะถูกหลักวิชชา ต้องผ่อนคลาย ใจต้องสบาย เบิกบาน

คำว่า “สบาย” ในที่นี้อาจจะยังไม่ถึงกับมีความสุขที่เกิดจาก
สมาธิ แต่รู้สึกว่ามันผ่อนคลาย ไม่สุขแต่ก็ไม่ทุกข์ ให้สังเกตนะ

สำหรับผู้ที่ทำมาตั้งนาน แต่ยังไม่ได้ผลสักทีก็ดี หรือเพิ่ง
มาใหม่ก็จะได้ฝึกกันไปพร้อม ๆ กัน มาปรับปรุงแก้ไขวิธีการตรงนี้

เรายอมที่จะเริ่มต้นใหม่ในทุก ๆ ครั้งนะ เพราะว่าถ้าทำถูกวิธีแล้ว
มันง่าย

สมาธิไม่ใช่ยากเกินไป มันอยู่ในระดับที่ทุกคน
สามารถทำได้ ยกเว้นคนมีความผิดปกติทางด้านจิตใจ
นั่นแหละ คนป่วยไม่มีแขน ไม่มีขา นอนป่วยอยู่ยัง
ทำได้ เรามีทุกอย่างพร้อมแต่เราทำไม่ได้ แปลว่า
เราคงยังทำไม่ถูกวิธี

เราต้องย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ตรงนี้อย่างง่าย ๆ ยอมกลับ
มาสู่จุดเริ่มต้นในการฝึกใจให้หยุดนิ่งเพื่อให้ใจเป็นสมาธิใหม่นะ
เรายอมตรงนี้

ตอนนี้เราได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เราต้องการนั้น ไม่ว่าจะเป็น
ความสุขที่แท้จริง แสงสว่างภายใน ดวงธรรม กายในกาย รวมถึง
พระธรรมกาย หรือพระรัตนตรัยมีอยู่ในตัวของเราหมด หนทาง
ที่จะไปสู่อายตนนิพพาน เพื่อการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ดับทุกข์
ได้นั้นก็อยู่ในกลางตัวเรา นี่เราได้เรียนรู้กันมายาวนานกันแล้ว

แต่ทำไมเราจึงยังทำไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ตรงนี้เราก็ต้องย้อน
กลับมาศึกษาดูว่า เราได้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจครบถ้วนไหม
หรือสักแต่ว่านั่ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง

อย่างหลวงพ่อบอกว่าให้ผ่อนคลาย ให้หลับตาเบา ๆ แต่เรา
หลับตาปี๋เลย ปิดสนิท ไปบีบเปลือกตา กดลูกนัยน์ตาลงไปเพื่อจะ

มองดูในท้อง แล้วจะเค้นภาพขึ้นมาเพื่อจะให้มันชัด เหมือนเราลืมตา
มองดูภาพภายนอก พอเราอยากจะให้ชัด เราก็ต้องหยี ๆ ตาเรา
ติดนิสัยตรงนี้

เราคงเข้าใจว่าเอาวิธีการอย่างนี้มาใช้ในการหาพระรัตนตรัย
ในตัวคงจะได้เหมือนกันมั้ง เพราะคิดเอาเองอย่างนี้แหละจ้ะ
เราจึงเลื่อนการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวไปเป็นเดือน เป็นปี เป็น
หลาย ๆ ปี เพราะฉะนั้นตอนนี้เราต้องมาปรับวิธีการให้ถูกต้อง
มาปรับกันใหม่นะลูกนะ

วันเวลาผ่านไป อายุเราเพิ่มขึ้น แต่ความแข็งแรงสดชื่นของ
ร่างกายเรามันลดลง เรามีเวลาเหลือกันอีกไม่มากแล้ว มาปรับวิธีการ
กัน โดยเริ่มต้นแบบนักเรียนอนุบาลนี่แหละ

เรายอมตนเป็นนักเรียนอนุบาลที่แท้จริง เหมือนนักเรียนอนุบาล
ที่อยู่ทางโลก คุณครูแนะนำให้ทำอะไรเราก็ทำอย่างนั้นด้วยใจที่
อินโนเซ้นท์ นี่ก็เช่นเดียวกัน เรามายอมตรงนี้กันสักนิดหนึ่ง มาปรับ
การนั่ง ปรับการวางมือ ปรับการวางเปลือกตา ปรับการวางใจ

ใจที่เหมาะสมที่จะเข้าถึงธรรมนั้นจะต้องไม่ผูกพันกับคนสัตว์
สิ่งของใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องไม่ผูกพัน ที่เราได้ยินได้ฟังว่า อย่าไปยึดมั่น
ถือมั่นเราฟังกันจนชิน แต่เราก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง

ที่ท่านสอนไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่น ให้ปลดปล่อยวาง เพราะ
ไปผูกพันไปนึกถึงในสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลามันไม่
เกิดประโยชน์ แล้วเราก็ยึดมั่นถือมั่นมายาวนาน ตั้งแต่เราเกิดมา
จนกระทั่งบัดนี้ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์ มีความสุข

ที่แท้จริง เพราะฉะนั้นท่านถึงสอนให้ปลดปล่อยวางในคนสัตว์
สิ่งของ แม้โลกใบนี้ก็ยังถึงกาลจะต้องเสื่อมสลายด้วยกัปวินาศ
แม้ร่างกายของเรานี้ก็จะต้องไปสู่จุดสลายสักวันหนึ่ง

ท่านสอนให้ปลดปล่อยวาง วางแม้กระทั่งความคิดว่า เราจะ
ต้องเอาให้ได้อย่างจริงจัง แล้วคาดหวังว่าวันนี้เราจะนั่งได้ดีกว่า
เมื่อวาน ดีกว่าทุก ๆ วัน ความคิดชนิดนี้ แม้เป็นกุศลธรรมก็ไม่ควร
คิดอีกเหมือนกัน ก็แปลว่าเราก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องอะไร ไม่ว่าจะบวก
หรือลบ ให้หยุดตรงกลาง ๆ

แต่แม้เราหยุดตรงกลาง ๆ แต่ความคิดมันก็ผ่านมาในใจอยู่
ตลอดเวลา เราก็ต้องใช้สองคำว่า “ช่างมัน”

เราต้องยอมรับว่าในชีวิตประจำวันทุก ๆ วันที่ผ่านมาเราเก็บ
ประสบการณ์เหล่านั้นมาเป็นภาพ มันก็สั่งสมอยู่ในใจ ถึงคราวที่มัน
จะคลี่คลายก็จะมาฉายให้เราเห็นเป็นภาพ ถ้าหากว่าเราไปผูกพัน
กับมัน มันก็ฟุ้งซ่าน ถ้าไปต่อต้านไม่ให้คิด มันก็อึดอัด ทุรนทุราย

เพราะฉะนั้นให้ทำตัวเหมือนท่อนํ้า คืออยู่เฉย ๆ ปล่อยให้นํ้า
มันผ่านไป ท่อธารของใจก็เช่นเดียวกัน เราก็ปล่อยให้ความคิด
เหล่านี้ผ่านไป โดยเราไม่ต้องไปคิดต่อ ทำเฉย ๆ นิ่ง ๆ ตรงนั้น

เราได้รับคำแนะนำว่าให้นึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นเพชรสักเม็ด
หรือองค์พระใส ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็นึกไป แล้วก็ประคองใจ
ด้วยคำภาวนา สัมมา อะระหัง ก็ทำไป ถึงจุด ๆ หนึ่ง เราไม่อยาก
จะภาวนา ก็ไม่ต้องภาวนา ไม่อยากจะนึกถึงภาพเราก็ไม่ต้องไปนึก
หรือนึกแล้วมันชัดได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อน

เราก็ต้องทำอย่างง่าย ๆ อย่างนี้แหละ แต่เรามักจะฟังผ่าน ๆ
พอฟังผ่าน ชีวิตเราก็ทุกข์ทรมาน เหมือนนั่งฟรีกันไปทุกครั้ง เมื่อย
ฟรี นั่งฟรี ได้แต่ขันติบารมี มันหมดเวลาที่เราจะต้องสูญเสียไปกับ
อย่างนั้นแล้ว

เรามาปรับวิธีการใหม่ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ บอกไปทุกครั้ง
ที่เจอกัน นั่งให้นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องไปควานหาอะไรในที่มืด
ใจนิ่ง ๆ เฉย ๆ ให้ใจอยู่กับตัว

มันแปลกนะ ถ้าใจมาอยู่ภายในตัว กายจะเบาสบาย มันจะ
โล่ง มันจะโปร่ง แต่ถ้าใจไปนึกถึงสิ่งข้างนอก ไม่ว่าจะนึกถึงนกที่บิน
ไปในอากาศ ตัวมันก็ไม่เบาเหมือนนก จะนึกเหมือนสำลีปุยนุ่นที่โดน
แรงลมพัดแล้วมันล่องลอยไปบนท้องฟ้าในอากาศ กายมันก็ไม่เบา
จะนึกถึงเมฆที่เลื่อนลอยไปบนท้องฟ้ามันก็ยังไม่เบาอยู่ดี นึกถึง
เครื่องบินบินได้บนท้องฟ้า นึกยังไงมันก็ไม่เบา นี่มันแปลกนะลูกนะ
ไปนึกเรื่องข้างนอกนี่ยากที่จะทำให้กายเบา ใจเบา มันยากมาก

วิธีที่จะให้ใจเบา ๆ มันต้องเอาใจเรากลับมาอยู่
ในตัว ตั้งแต่ปากช่องจมูก หัวตา กลางกั๊กศีรษะ
เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก กลางท้องระดับ
สะดือ อยู่เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ดีที่สุดคือ
อยู่ในกลางท้องนิ่ง ๆ แล้วอยู่ระดับนั้นไปเรื่อย ๆ แล้ว
มันจะถูกส่วนของมันไปเอง

เวลาถูกส่วนนี่ มันก็จะมีปรากฏการณ์ขึ้นที่ร่างกาย คือตัวจะ
โล่งโปร่งเบาสบาย แม้ยังไม่เห็นอะไรก็เป็นรางวัลสำหรับการนั่งใน
แต่ละครั้ง แล้วเราก็จะมีความรู้สึกพึงพอใจว่า เออ แม้ยังไม่เห็นอะไร
ก็รู้สึกนั่งแล้วดีนะ มีรางวัล มันโล่ง โปร่ง เบา สบาย

แต่เดิมมีความรู้สึกว่า เราต้องฝืน ต้องพยายามที่จะนั่ง
สมาธิ เพราะตั้งใจเอาไว้แล้วบ้าง รับปากกับพระอาจารย์ไว้บ้าง
อะไรต่าง ๆ เหล่านั้น แต่พอเราทำถูกวิธีการแล้วได้ผล คือ ตัวโล่ง
โปร่ง เบา สบาย ความสมัครใจหรืออยากนั่งมันจะเกิดขึ้นมาเอง
มันจะมีความพึงพอใจว่า เออ ดีจัง แล้วพอถึงตรงนั้นเราไม่คำนึงถึง
เรื่องการเห็นแล้ว เราอยากจะนั่งนุ่ม ๆ เบา ๆ ไปนาน ๆ ก็ให้เรา
พึงพอใจในระดับนี้ไปก่อน แม้ไม่มีภาพอะไรให้เราเห็น แม้ไม่มี
ปรากฏการณ์อะไรใหม่ ๆ ให้เราดู

แม้ได้ยินเพื่อนนักเรียนเขามีผลการปฏิบัติก้าวหน้ากว่านี้
เราก็ยังรักษาความสงบของใจได้ ไม่เร่าร้อน ยังสงบได้ อย่างนี้จึง
จะถูกหลักวิชชา แล้วก็ฝึกให้ชำนาญให้ไปสู่จุดนี้บ่อย ๆ นิ่ง นุ่ม
นานขึ้น จนกระทั่งมันนิ่งแน่น

แน่นในที่นี้ไม่ได้แปลว่าอึดอัด แต่หมายถึง มันนิ่งติดแน่น
ในกลางกายมากเข้า ๆ และจะรู้สึกกายขยาย เปลี่ยนสภาวะจาก
ของหยาบมาเป็นของละเอียดคล้าย ๆ วัตถุเปลี่ยนจากของแข็ง
มาเป็นของเหลว จากของเหลวมาเป็นไอเป็นแก๊สอย่างนั้น เปลี่ยน
สภาวะด้วยการนำใจมาหยุดนิ่ง ๆ อย่างนี้ จากหยาบก็ไปสู่ความ
ละเอียดไปเรื่อย ๆ

แล้วเราก็ฝึกไปในทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ฝึกไป
เรื่อย ๆ มันก็จะมาถึงตรงนี้ได้เร็วขึ้น นานขึ้น จนกระทั่งถึงระดับที่
เราเริ่มสัมผัสกระแสแห่งความสุขภายในที่แตกต่างจากความสุขใน
ภายนอก ซึ่งเราจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

กระแสแห่งความสุขนี้ก็จะยิ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เราอยาก
นั่งไปอย่างนี้นาน ๆ โดยไม่อิ่มไม่เบื่อเลย เมื่อความรู้สึกอย่างนี้
เกิดขึ้น ก็เป็นสัญญาณว่าไม่ช้าเราจะเข้าถึงแสงสว่างภายใน
จิตจะบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ความสว่างจะเกิดขึ้น เป็นแสงสว่างภายใน
ที่นุ่มเนียนตาละมุนใจ และจะทำให้เราเห็นภาพภายในวอบ ๆ แวบ ๆ
เกิดขึ้น

ซึ่งเราก็ต้องอย่าไปคิดอะไรมาก มาให้เห็นแล้วก็ดูไป หายก็ช่าง
มัน คือต้องทำความเข้าใจแล้วจำทุกถ้อยคำนะลูกนะ เพราะจะได้ไม่
ช้า แสงสว่างเกิดขึ้นแวบหนึ่งเราก็เฉย ๆ แวบมาแล้วก็แวบไป เราก็
เฉย ๆ จะมาข้างหน้า ข้าง ๆ ข้างหลัง ข้างไหนก็ช่างเถิด เรานิ่งอยู่
ตรงกลางท้องของเราที่เดียว

ไม่ต้องไปชำเลืองดู หรือหวงแหนภาพนั้น ยิ่งหวงแหน ก็ยิ่ง
หนีหายไปเลย ใจเราจะต้องอยู่ที่เดียวที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ใน
กลางท้องนั้น เฉย ๆ มันก็แวบไปแวบมาให้เห็นได้นานขึ้น นานขึ้น
ไปเรื่อย ๆ

เมื่อเรามีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางเพิ่มขึ้น ไม่ช้าเรา
ก็จะควบคุมมันได้ เหมือนเราเป็นสารถีชั้นดีที่ควบคุมการขับรถ จะ
เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ไปข้างหน้า ข้างหลัง หรือหยุดนิ่งได้ จะควบคุม

เหมือนควบคุมม้าพยศ เหมือนสัตว์เลี้ยงได้ เราก็ฝึกไปเรื่อย ๆ
ใจหยุดนิ่งเดี๋ยวก็มีประสบการณ์ภายในใหม่ ๆ มาให้เราดู

เพราะฉะนั้น มันจะยากตอนช่วงแรก ๆ ดังนั้นเรายอมตน
เป็นนักเรียนอนุบาลทุก ๆ วัน ให้เริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ อย่างนี้
ไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะค่อย ๆ ละเอียดลุ่มลึกขึ้นไปตามล??ำดับ จะรู้
เห็นอะไรไปตามความเป็นจริง จะได้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วภายใน นี่ก็
เป็นสิ่งที่เราจะต้องปรับปรุงตัวนะ

นำอธิษฐานจิตและอุทิศส่วนกุศล
คราวนี้ เราก็นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติ
ไม่ถ้วนมาจนกระทั่งถึงวันนี้ มารวมอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
แล้วก็อธิษฐานจิต ให้บุญนี้ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินของใจให้หมดสิ้น
ไป แล้วให้เป็นผังสำเร็จติดไปในภพเบื้องหน้า ให้เราสมบูรณ์ด้วย
รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภยศสรรเสริญสุข มรรคผล
นิพพาน วิชชาธรรมกาย

เกิดมาให้ระลึกชาติได้ เห็นธรรมะกันตั้งแต่เยาว์วัย สร้าง
บารมีเรื่อยไปจนหมดอายุขัยไปทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุด
แห่งธรรม

ให้เราได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ใน
ครอบครัวธรรมกายที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนต่อการ
สร้างบารมี พวกพ้องบริวารหมู่ญาติให้เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์
คนภัยคนพาลก็ให้ห่างไกล

ให้เรามีสมบัติใหญ่ไหลมาเทมา เอาไว้สำหรับสร้างบารมี
มีแล้วก็ไม่ให้ตระหนี่ ให้มีปฏิคาหกผู้เป็นเนื้อนาบุญมารองรับ
ทานที่เราตั้งใจทำไว้ด้วยดี ให้เราได้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญคํ้าจุน
พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย

แล้วก็ให้บุญนี้ถึงแก่หมู่ญาติ บรรพบุรุษ บุพการี ญาติสนิท
มิตรสหาย หรือสัมพันธชนที่ละโลกไปแล้ว จะไปอยู่ในภพภูมิใด
ก็ตาม ให้บุญนี้ไปถึงกับท่านเหล่านั้น ที่มีทุกข์มากก็ให้ทุกข์น้อย
ที่มีทุกข์น้อยก็ให้พ้นทุกข์ ที่มีสุขน้อยก็ให้สุขมาก มีสุขมากแล้วก็
มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

คู่กรรมคู่เวรที่เราเคยไปเบียดเบียนเขาเอาไว้ในยามที่อกุศล
เข้าสิงจิตให้กระทำความผิดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วก็มี
วิบากกรรมติดมา ก็ให้บุญนี้อุทิศไปให้กับท่านเหล่านั้น จะได้ไม่มี
เวรต่อกัน วิบากกรรมก็ให้หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย ให้ท่านเหล่านี้
ที่มีทุกข์มากก็ให้ทุกข์น้อย ที่มีทุกข์น้อยก็ให้พ้นทุกข์ สุขน้อยก็ให้
สุขมาก สุขมากแล้วก็มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

ให้บุญนี้ถึงแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ตลอดแสน
โกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ในกำเนิด
ทั้ง ๔ ทั้ง อัณฑชะ ชลาพุชะ สังเสทชะ และโอปปาติกะ ให้ได้มี
ส่วนแห่งบุญที่เราได้ทำเอาไว้อย่างดีแล้ว มีทุกข์มากก็ให้ทุกข์น้อย
มีทุกข์น้อยก็ให้พ้นทุกข์ มีสุขน้อยก็ให้สุขมาก มีสุขมากแล้วก็ให้มาก
เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

แล้วสิ่งใดที่เป็นกุศลธรรม ขอให้เราได้ทำได้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
ในทุกบุญ จะไปชักชวนผู้มีบุญใดมาสร้างบารมี ก็ให้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพ พูดจาชนะใจคน ใครได้ยินได้ฟังธรรมก็ให้
เกิดกุศลศรัทธามาสร้างบารมีกับเรา อธิษฐานจิตกันไปให้ดี
อาทิตย์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

0

๔ ส. สำเร็จ

จำคำนี้ “สักแต่ว่า” นะลูกเอ๋ย
จะเปิดเผยสิ่งล้ำค่าให้ลูกเห็น
เห็นความมืดติดตาอย่าลำเค็ญ
สักแต่ว่าฉันเห็นก็เป็นพอ
นิ่งเบาๆ ต่อไปใจนิ่งนิ่ง
เดี๋ยวก็ปิ๊งใสแจ๋วจนร้องอ๋อ
เพิ่งเข้าใจ “สักแต่ว่า” วันนี้นอ
ช่วยบอกต่อ “สักแต่ว่า” ค่าล้ำจริง
ตะวันธรรม

๔ ส. สำเร็จ
ง่าย..แต่..ลึก 1



(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ............)
... หยุดแรก นี่จะยากสักนิด ก็ไม่ใช่ยากมาก ยากนิดหน่อย แต่
ก็ต้องอาศัยการฝึกฝน ทำความเพียรให้สมํ่าเสมอ ต้องมีสติกับสบาย
สมํ่าเสมอแล้วก็สังเกต ๔ ส. นี้ ต้องจำให้ดี

สติ ก็คือการดึงใจกลับมาอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้
ตลอดเวลาเลย ทำอย่าง สบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงเรื่องราวที่
เราชอบ คือนึกแล้วมันไม่มึน ไม่ซึม ไม่ตึง ระบบประสาทกล้ามเนื้อ
ต้องไม่เกร็ง ไม่เครียด ต้องผ่อนคลาย แต่ที่ไม่สบายก็เพราะเรา
เอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู เพราะเราคุ้นเคยและก็ชินว่าการที่จะมอง
ภายในนั้นต้องกดลูกนัยน์ตา ต้องเหลือบตาลงไป ถ้าเหลือบเฉย
ๆ มันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตั้งใจเกินไปมันก็จะแรง กดลงไปโดยที่
เราไม่ได้ตั้งใจ เราก็นึกว่าเรามองธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วเรากำลังกด
ลูกนัยน์ตา

สมํ่าเสมอ คือทำให้ได้ทุกวัน ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน
หรือว่าถ้ามันมากไปก็เอาแค่สองเวลา คือ หลับตากับลืมตา หรือ
หายใจเข้าหายใจออกก็ได้
สังเกต คือเวลาเลิกนั่งสมาธิแล้วให้หมั่นสังเกตว่า เราทำถูกหลัก
วิชชาไหม ถ้าไม่ถูกก็ปรับปรุงแก้ไข ถ้าถูกก็ทำให้เจริญขึ้น คล่องขึ้น ให้ชำนาญขึ้น สักวันหนึ่งก็จะเป็นวันสว่างของเรานะลูกนะ

การเห็นทางใจและการเห็นด้วยตาเนื้อ
การเห็นทางใจจะต่างจากการเห็นด้วยตาเนื้อ การเห็นด้วย
ตาเนื้อสำหรับคนที่มีดวงตาปกติ พอเราลืมตาเราจะเห็นได้ทันที
และของไกล ๆ มักจะเห็นชัดน้อยกว่าของใกล้ ๆ แต่การเห็นภาพ
ทางใจนั้นจะค่อย ๆ เห็น คือค่อย ๆ ชัด เพราะเรายังมีความมืดใน
ใจอยู่ เหมือนความมืดในยามราตรี ของอะไรอยู่ในที่มืดก็มองไม่ค่อย
เห็นจนกว่าเราจะทำนิ่ง ๆ ให้สายตาคุ้นกับความมืดก็พอจะคาดคะเน
ว่ามีอะไรบ้าง แต่ก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนจนกว่าจะฟ้าสาง ๆ นั่นแหละ
จึงจะค่อย ๆ เห็น ภาพภายในจะคล้าย ๆ อย่างนั้น

จะมีมนุษย์พิเศษบางคนที่เขาสั่งสมบุญมามาก ฝึกมาข้ามชาติ
พอหลับตาเขาก็นึกภาพได้ชัดราวกับการเห็นภาพด้วยตาเนื้อถึง ๖๐
เปอร์เซ็นต์ก็มี ๗๐ , ๘๐ , ๙๐ เปอร์เซ็นต์ก็มี แต่ที่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ยังไม่เคยเจอ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะค่อยเป็นค่อยไป

ซึ่งตรงนี้แหละ มันทำให้เราไม่คุ้น และมักจะขัดใจเราเสมอ เรา
มักจะฮึดฮัด เวลาเราอยากจะเห็นภาพภายในก็พยายามไปเค้นภาพ

มันก็ทำให้ระบบประสาทกล้ามเนื้อเกร็งและเครียด เขาก็อุทธรณ์ฟ้อง
เราว่ามันไม่ถูกวิธีแล้วแหละ ทนไม่ได้แล้ว ถ้าเราฝืนทำต่อไปมันก็ไม่
เกิดประโยชน์ เพราะมันผิดวิธี

เพราะฉะนั้น จะให้ใจหยุดได้ก็ต้องหลับตาพอสบาย ปรือ ๆ
ตานิด ๆ ไม่ถึงกับปิดสนิท แล้วก็ทำความรู้สึกว่าใจอยู่ในท้อง เรา
จะนึกเป็นภาพดวงแก้วใส ๆ หรือองค์พระใส ๆ ก็ได้ หรือองค์พระ
ที่เคยกราบไหว้บูชาองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือจะเป็นดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว เพชรสักเม็ดหนึ่งอยู่ในตัว ค่อย ๆ นึกไป นึกได้
ก็เห็นได้ แต่ภาพที่เกิดจากการนึกมันไม่ชัดเจน เราก็ต้องใจเย็น ๆ
ไม่ต้องใช้ลูกนัยน์ตากดลงไปดู ลูกนัยน์ตาก็ยังวางอยู่ที่เดิม แต่เรา
นึกภาพทางใจไว้ภายใน เหมือนเรานึกภาพดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า เรายังนึกภาพได้ โดยเราก็ไม่ต้องเหลือกตา
ขึ้นไปมองก็ยังนึกได้ว่าอยู่ข้างบนท้องฟ้า ทีนี้เราเปลี่ยนมาเป็นนึกใน
กลางท้องเรา เป็นดวงใส ๆ องค์พระใส ๆ ทำสบาย ๆ

ถ้ามีความรู้สึกเกร็งตึง แสดงว่าไม่ถูกวิธีแล้ว
ต้องผ่อน แต่ที่สำคัญคือเปลือกตาอย่าเม้มสนิท
เมื่อเราปรือตาก็จะทำให้เกิดการผ่อนคลายระบบ
ประสาทกล้ามเนื้อ และเราก็นิ่งอย่างนั้นเรื่อยไป
เลย จะมีคำภาวนา สัมมา อะระหัง ไปด้วยก็ได้ หรือ
ไม่มีก็ไม่เป็นไร

เราก็ทำนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม คล้าย ๆ สำลีที่ลอยฟ่อง
ไปบนท้องฟ้า หรือเหมือนขนนกที่ล่องลอยไป แม้ตกไปบนผิวนํ้า
ก็ไม่จม หรือจะนั่งนิ่ง ๆ อย่างนี้ก็ได้ ให้รู้จักว่า สบาย เป็นอย่างไร
สบายในระดับนี้ ยังไม่ถึงสบายในระดับเข้าถึงความสุข แต่เป็นสบาย
ในระดับที่ไม่เป็นทุกข์ ไม่เครียดก่อน เราค่อย ๆ ฝึกไป เพราะเรา
ยังเป็นนักเรียนอนุบาลอยู่ อย่าไปฝึกแบบคนเก่งแล้วนะ เราฝึก
แบบคนไม่เก่ง สบาย ๆ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ระวังเปลือกตานะ นิ่ง ๆ
อย่างเดียว นิ่งอย่างสบาย ๆ เดี๋ยวตัวจะขยายไปเอง แล้วก็หาย
กลืนไปกับบรรยากาศเลย

ที่นึกเป็นภาพก็จับภาพไว้อย่างละมุนละไม อย่าไปเค้นภาพ
องค์พระหรือดวงแก้วใส ๆ นะ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม สบาย ๆ
อย่าไปใช้กำลังในการบังคับใจเรา อย่าไปฮึดฮัด ให้นั่งแบบเยือกเย็น
ใจใส ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ
ศุกร์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗

0

ชีวิตที่ถูกหลอก

ดาราพร่างทั่วฟ้า ธรรมดา
เดือนส่องสาดนภา ก็งั้น
ตะวันเกิดกึ่งกายา น่าทึ่ง
เมื่อไหร่หยุดเมื่อนั้น สุขไร้ใดเทียม
ตะวันธรรม


ชีวิตที่ถูกหลอก
ง่าย..แต่..ลึก 1



(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ............)
...คราวนี้เราก็นึกน้อมเอาภาพองค์พระแก้วขาวใส ที่อยู่ใน
กลางดวงแก้ว มองจากเศียรพระด้านบนลงล่าง ให้จำภาพองค์พระ
กลางดวงแก้วนี้ไว้ให้ดี แล้วก็น้อมมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
หรือจำง่าย ๆ ว่า อยู่ในกลางท้อง จำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จะใหญ่
จะเล็กขนาดไหนก็แล้วแต่ใจเราชอบ ตั้งไว้ในกลางท้องกลางกาย
ของเรา ให้ท่านหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา

เพราะฉะนั้นลักษณะที่เรามองเห็นก็เหมือนมองท็อปวิว
(Top View) คือ มองจากด้านบนลงไปด้านล่าง ซึ่งจะเป็นลักษณะ
ขององค์พระที่ปรากฏภายใน
(ภาพอง ค์พ ร ะ T o p V i e w)

ในตอนแรก ๆ เราจะเห็นอย่างนี้ไปก่อน ของจริงก็จะคล้าย ๆ
อย่างนี้ แต่ว่าจะเห็นเต็มส่วน แล้วก็จะเห็นได้รอบตัวรอบทิศ แต่
ตอนแรก ๆ มันจะคล้าย ๆ อย่างนี้ เราก็จำภาพอย่างนี้ไปก่อน ทีนี้
เราก็เอาใจมาหยุดนิ่ง ๆ คือ นึกภาพองค์พระไม่ให้คลาดจากใจ แต่ต้องอย่างสบาย ๆ

จะประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมา อะระหัง ไปด้วยก็ได้
แต่เวลาภาวนา สัมมา อะระหัง ต้องให้เสียงดังออกมาจากใน
กลางท้องหรือกลางองค์พระ เป็นจังหวะที่พอดี ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป และจะภาวนากี่ครั้งก็ได้ จนกว่าจะไม่อยากภาวนา คือ หมดความจำเป็นเกลี้ยงจากใจ ก็จะเหลือแต่ภาพองค์พระกลางดวงแก้วใส ๆ

ทำไมต้องฐานที่ ๗
ที่ต้องให้เอาใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ โดยการ
กำหนดบริกรรมนิมิตเป็นภาพองค์พระกลางดวงแก้ว แล้วภาวนา
สัมมา อะระหัง นั้นก็เพราะว่าต้องการให้ใจกลับมาสู่ฐานที่ตั้งดั้งเดิม
ซึ่งอยู่ภายในตัวของเรา คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ณ ตรงนี้จะเป็น
ทางไปสู่อายตนนิพพาน คือ จะทำพระนิพพานให้แจ้งจะต้องอาศัย
จุดเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗

เมื่อเรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ก็จะต้องเริ่มให้
ถูกต้องเสียก่อน ถ้าเริ่มถูกต้องแล้ว เดี๋ยวจะคล่องตลอดเส้นทางเลย
เอาใจกลับมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะปกติของใจเรา
จะถูกดึงออกไปข้างนอกตลอดเวลาเลย ทั้งตื่นทั้งหลับทั้งฝัน ออกไป
ทางตาบ้าง ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไปในเรื่องราว

ที่เกี่ยวข้องกับผู้คน สัตว์ สิ่งของ การทำมาหากิน การครองเรือน
การศึกษาเล่าเรียน การสนุกสนานเพลิดเพลินไปในทางโลก จากการ
ได้เห็น ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสต่าง ๆ เหล่านั้น
ใจมันถูกดึงไปตลอดเวลาเลย

หลับก็ถูกดึงไปฝัน ตื่นก็ถูกดึงเอาไปใช้ในกิจกรรมในชีวิต
ประจำวัน พอดึงไปเท่าไร มันก็ออกห่างจากต้นทางที่จะไปสู่
อายตนนิพพาน เพราะฉะนั้นชีวิตจึงปราศจากความสุขที่แท้จริง ไม่เคยเจอะเจอเลย ไม่รู้จักด้วยซํ้าว่าความสุขที่แท้จริงมีลักษณะอย่างไร
มีอาการอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะถึงตรงนี้ได้ เราไม่รู้จักเลย

แล้วแถมถูกโฆษณาชวนเชื่อว่า สิ่งนี้ สิ่งนั้น สิ่งโน้นคือความ
สุข เราถูกหลอมอย่างนั้นจากผู้ไม่รู้ หลอมด้วยสื่อต่าง ๆ ทุกสื่อ ที่
ผ่านเข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถูกหลอมว่าสิ่งที่เราได้เห็น ได้ยิน
ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสเหล่านั้นคือความสุข สุขที่ดื่มได้บ้าง
ที่เห็นได้บ้าง ที่ฟังได้บ้าง ที่ถูกต้องสัมผัสได้บ้าง ที่ฟุ้งฝันบ้าง ก็เหมา
เอาว่านั่นแหละคือความสุข ได้ดูทิวทัศน์ ดูหนัง ดูละคร ดูเพชรนิล
จินดา ดูของสวย ๆ งาม ๆ เราถูกสอนให้เชื่อว่าถ้าได้ดูอย่างนี้แล้ว
จะเป็นสุข แล้วเราก็เลยเข้าใจว่า คงใช่ จึงไปแสวงหา

หรือได้ยินเสียงเพราะ ๆ เสียงเพลงบ้าง เสียงธรรมชาติ เสียง
ทะเล เสียงคลื่นซัดฝั่ง เสียงนํ้าตก เสียงเยินยอสรรเสริญอะไรพวกนั้น
เราก็ถูกทำให้เข้าใจผิดว่า นั่นคือความสุข จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่
หรือได้ดมกลิ่นหอม ๆ หลากกลิ่น ไม่ซํ้ากันเลย ไม่ว่ากลิ่นนั้น
จะมาจากคน จากสัตว์ จากสิ่งของ หรือจากวัสดุอะไรก็แล้วแต่
ได้ดมแล้วชื่นอกชื่นใจก็เข้าใจว่านี่คือความสุข

ได้ลิ้มรสเหมือนกัน เข้าใจว่าการได้รับประทานหรือได้ดื่มกิน
อะไรที่หลากรสหลากลีลาต่าง ๆ เหล่านั้น รสเปรี้ยวหวานมันเค็ม
ไม่ซํ้ากันเลย เปรี้ยวอย่างเดียวก็ไม่ซํ้าเปรี้ยว หวานก็ไม่ซํ้าหวาน
อย่างนั้น เป็นต้น หรือได้ดื่มเครื่องดองของเมาไม่ซํ้าแบบว่านั่นก็คือ
ความสุข เราถูกหลอมถูกสอนให้เชื่ออย่างนั้น

หรือการถูกต้องสัมผัส ตั้งแต่สัมผัสคน สัตว์ สิ่งของว่านั่นแหละ
คือความสุข หรือความฟุ้งฝันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้น

ในชีวิตประจำวันโลกสอนเราหล่อหลอมเราอย่างนี้เราจึง
เข้าใจไปอย่างนั้น แล้วก็แสวงหากันไปจนหมดเวลาในโลกซึ่งมีอยู่
อย่างจำกัด หมดไปชาติหนึ่งฟรี ๆ แถมขาดทุนชีวิตเสียอีก เพราะชีวิตมีกฎแห่งกรรมคอยควบคุมอยู่ มันก็พัดพาเราไปท่องเที่ยวในสังสารวัฏ
แต่เที่ยวอย่างนี้มันไม่ได้เที่ยวเหมือนไปเที่ยวทัวร์ต่างประเทศนะ
มันไปท่องเที่ยวในอบายซึ่งเป็นความทุกข์ทรมาน

ความสุขแท้จริงเป็นเช่นไร
เราไม่รู้จักหรอก ความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร จนกว่าจะมา
เจอผู้รู้ หรือคำสอนของผู้รู้ที่ท่านได้ผ่านชีวิตมาทุกระดับแล้ว จาก
สูงมาตํ่า จากตํ่าไปสูง เคยเป็นตั้งแต่พระเจ้าจักรพรรดิ พระราชา
มหากษัตริย์ เศรษฐี มหาเศรษฐี ถึงยาจก วณิพก ผ่านนรกสวรรค์
ผ่านมาหมดแล้ว แล้วท่านก็แสวงหาทางพ้นทุกข์จนไปพบความสุข
ที่แท้จริง แล้วสรุปได้ว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจากใจหยุดนิ่งไม่มี

คือ จะหาความสุขจากใจที่วิ่งไปอย่างนั้นมันไม่เจอ มันต้อง
เจอจากใจหยุดใจนิ่งหยุดเมื่อไรเราถึงจะรู้จักความสุข ถ้าหยุดเดี๋ยวนี้
ก็จะได้รู้จักเดี๋ยวนี้ และก็จะเห็นความแตกต่างจาก
สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่า ใช่เลย ปรากฏว่ามัน ไม่ใช่เลย และก็
มาเจอใหม่ สุขที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง นี่แหละถึงจะยอมรับ
ว่า อย่างนี้ใช่เลย ต้องอย่างนี้ ผิดจากนี้ไม่ใช่

ชีวิตใครผ่านร้อนผ่านหนาวยิ่งผ่านมาหลายฤดูแล้วจะพบจะเข้าใจ
เลยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมากระทั่งจะปลดเกษียณแล้ว หรือเกษียณ
แล้วยังไม่พอ จะปลดประจำการจากโลกไปแล้วถึงรู้ว่า เออ มันไม่ใช่
จริง ๆ แต่มันก็หมดเวลาแล้ว หมดเรี่ยวหมดแรงไปแล้ว เพราะฉะนั้น
ผู้รู้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
สรุปรวมกันว่า ต้องหยุดนิ่ง
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ?สุขอื่นนอกจากใจหยุดนิ่งไม่มี
แล้วสุขที่เที่ยงแท้ถาวรเป็นบรมสุขท่านก็ยกมาอีกว่า
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ?พระนิพพานเป็นบรมสุข
คือ มันมีสุขธรรมดา สุขปานกลาง และสุขอย่างยิ่งคือ บรมสุข
สุขธรรมดา คือ ผู้ที่มีความสมบูรณ์พร้อมในโลกมนุษย์
อย่างเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ นั่นเขาเรียกว่าสุขธรรมดา เดี๋ยวมัน
ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

สุขปานกลาง คือ สุขในสวรรค์ หรือสุขในฌานสมาบัติ แต่
ก็ยังไม่มั่นคง เพราะมันยังหยุดไม่สนิท ยังมีกิเลสอาสวะเหนี่ยวรั้ง
ออกมา เดี๋ยวก็หลุดจากสวรรค์ เดี๋ยวก็หลุดจากฌาน พอหลุดออก
มายังไม่มั่นคงก็เจอทุกข์อีกแล้ว

ต้อง บรมสุข คือ นิพพาน ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งออกมาแล้ว
เพราะหมดจากโลภะ โทสะ โมหะ กิเลสอาสวะมันหมดสิ้นไป ผุ้รูท่าน
ก็จะบอกอย่างนี้แหละ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ?พระนิพพานเป็นบรมสุข
ท่านยืนยันอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง หมายถึง
นิพพานมีอยู่แล้ว แต่ถูกกิเลสอาสวะมาบดบังดวงปัญญาของเรา
ไม่ให้ไปรู้ไปเห็น หลับตาแล้วมันมืด มืดก็มองไม่เห็น ไม่เห็นก็ไม่รู้
ไม่รู้ก็ไม่เชื่อ มันเป็นอย่างนั้น

ดวงปฐมมรรค
เพราะฉะนั้นเบื้องต้น เราจึงต้องฝึกให้ใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ ให้มันถูกต้นทางเสียก่อน โดยจะมีนิมิตหมายเกิดขึ้นมาว่า
ถูกแล้ว คือ เวลาใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วน มันจะตกศูนย์วูบลงไป เหมือน
หล่นลงไปแล้วก็จะมีดวงธรรมลอยขึ้นมาเป็นดวงใส ๆ กลมรอบตัว
เหมือนดวงแก้ว ไม่ใช่กลมเป็นวงเวียนเป็นแผ่น ๆ ไม่ใช่

เป็นดวงกลมใสยิ่งกว่าความใสใด ๆ ในโลก ขึ้นอยู่กับใจหยาบหรือ
ละเอียด ถ้าหยาบก็เห็นใสเหมือนน้ำ เหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงา
หน้าได้ ถ้าดีกว่านั้นก็ใสเหมือนกับเพชร ถ้าละเอียดมากก็ใสเกินใส
คือ เกินความใสใด ๆ ในโลก มันจะสุกใส เปล่งประกาย สว่าง

ธรรมดวงนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านเรียกว่า
ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค นี่คือ
ต้นทางเบื้องต้น หรือ หนทางไปสู่มรรคผลนิพพาน
ปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป๊ะเลย

เมื่อธรรมดวงนี้เกิดขึ้น นั่นแหละต้นทางพระนิพพาน
อยู่ตรงนั้น ยืนยันได้เลยว่าต้องไปถูกทาง ต้องไปสู่
อายตนนิพพานหรือทำพระนิพพานให้แจ้งได้

เมื่อธรรมดวงนี้ปรากฏ จะใสแจ่มทีเดียว อยู่ในกลางฐานที่ ๗
เลย แล้วก็จะเห็นทางไปสู่นิพพาน อยู่ในกลางดวงนั้น มันจะมี
จุดศูนย์กลางซึ่งเป็นจุดที่ใส ๆ ใสกว่าดวงธรรมนั่นแหละ เราต้องเข้าไปตรงกลางตรงนั้น ซึ่งจะเข้าไปเองเมื่อใจหยุดนิ่ง จะมาพร้อมกับความสุขมาก ๆ แล้วก็จะถูกกระแสธรรมจากอายตนนิพพานดูดเข้าไปข้างใน เราก็จะเห็นไปตามลำดับ เห็นดวงธรรมในดวงธรรม เห็นกายในกายเข้าไปเรื่อย ๆ

กายเป้าหมาย คือ กายธรรมอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา
เป็นกายที่บริสุทธิ์ที่สุด สว่างกว่าทุก ๆ กาย เป็นเป้าหมายของการ
เกิดมาเป็นมนุษย์ พอถึงกายธรรมอรหัตจะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
จากกฎแห่งกรรม จากภพทั้ง ๓ จากกฎของไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อเข้าถึงกายธรรมอรหัตจะหลุดหมดเลย

ความรู้ภายในที่มนุษย์ขาดแคลน
กายทั้งหมดนี้มีอยู่แล้วในกายมนุษย์ทุก ๆ คนในโลก แต่ไม่รู้
ว่ามี และไม่เฉลียวใจว่ามี เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของกาย
ในกาย

ที่ไม่ได้ยินได้ฟังก็มีหลายแบบ คือ พวกที่ห่างไกลพระพุทธ
ศาสนา พวกที่อยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนาแต่มัวไปทำมาหากิน
ไม่เอาใจใส่ก็ไม่ได้ยินเหมือนกัน หรืออีกประเภทพวกปิดตาตัวเอง
พอไปเกิดในครอบครัวที่มีความเชื่อที่แตกต่างจากคำสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็หมกมุ่นกับความเชื่อนั้น ปิดหูปิดตาตัวเอง
ไม่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตเพิ่มเติม พวกนี้ก็จะไม่รู้
ไม่เฉลียวใจเหมือนกัน

หลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างมันบดบังเอาไว้ แต่ว่าเมื่อไรเรา
ข้ามสิ่งเหล่านี้ไป ลืมไปก่อนชั่วคราวว่า เราเกิดมาในเชื้อชาติศาสนา
และเผ่าพันธุ์ใด มีความเชื่อหลากหลายแค่ไหน และก็เปิดโอกาส
ให้ตัวเองก้าวเข้ามาศึกษาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งเป็นความจริงของชีวิต
เราก็จะรู้ได้ว่า ในตัวของเรามีสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่กายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรม กระทั่งกายธรรมแล้วชีวิตของเราก็จะสมบูรณ์ขึ้น

การเรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาหรือเรื่องราวความจริงของชีวิต
เป็นเรื่องสากล เหมือนเรามีความเชื่ออะไรก็ตาม ก็เป็นส่วนของความ
เชื่อ แต่เมื่อเราออกจากบ้านไปเข้าโรงเรียน จะประถม มัธยม เตรียม
อุดม อุดมศึกษา มันก็มีความรู้ใหม่ที่เราจะต้องเรียนรู้ อย่างนั้นเรายัง

เปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้ได้ โดยไม่มีข้อขัดแย้งในใจเลย แล้วก็ได้
รับความรู้เพิ่มเติม ถ้าหากทุกคนในโลกทำอย่างนี้ คือ เปิดโอกาสให้
ตัวเองได้มาเรียนรู้ได้กว้างขวางขึ้น ความรู้ของเราก็จะสมบูรณ์ขึ้น
การศึกษาหรือการแสวงหาความรู้ มันเป็นสิทธิเสรีภาพของ
มวลมนุษยชาติ แล้วมันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เหมือนอากาศขาดไป
เราก็ตายจากกายมนุษย์ ความจริงของชีวิต หรือความรู้ภายในขาดไป
ก็ตายจากความดี จากความรู้ที่แท้จริง เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่จำเป็น
สำหรับทุก ๆ ชีวิตที่จะต้องศึกษา ไม่ว่าจะมีอาชีพใด เชื้อชาติ ศาสนา
เผ่าพันธุ์ใด จะเพศไหน วัยไหน ก็จำเป็นจะต้องศึกษา แล้วต้องปฏิบัติ
ให้เข้าถึงให้ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วในตัว

ถ้าเราไม่ศึกษามันก็ผ่านไป เสียชาติที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์
ไปอีกชาติหนึ่ง แต่ถ้าเราให้โอกาสตัวเราได้มาศึกษา ก็จะพบว่า
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ
สุขอื่นนอกจากใจหยุดนิ่งไม่มี
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
นิพพานเป็นบรมสุข
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรัสว่า พระนิพพานเป็นเยี่ยม

เวลาเรามาอยู่ในโลกนี้ จะศึกษาอะไร ต้องเอา
ผู้รู้แจ้งเป็นหลัก อย่าไปเอาผู้ไม่รู้จริงหรือผู้ไม่รู้อะไรเลย

เป็นหลัก มนุษย์ในโลกนี้มักจะไปเชื่อผู้ไม่รู้จริง แต่กลับ
ไม่เชื่อผู้ที่รู้แจ้ง ชีวิตของเราจึงมีแต่ความทุกข์ทรมาน
ไม่พบกับความสุขที่แท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี ชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่าง ต่างก็มีความ
ทุกข์เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าทรัพย์สินเงินทองจะให้เราได้ในทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ก็ให้ได้บางอย่าง แต่บางอย่างก็ให้ไม่ได้

เพราะฉะนั้น หยุดกับนิ่งเราสามารถเข้าถึงได้ด้วยกำลังแห่ง
ความเพียร และกำลังแห่งดวงปัญญาของเรา ที่จะทำให้ถูกหลักวิชชา
เราเกิดมาเพื่อการนี้นะ เพื่อที่จะมาแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว ที่จะ
นำไปสู่การทำพระนิพพานให้แจ้ง

ต่อจากนี้ไป เวลาที่เหลืออยู่นี้ อากาศกำลังสดชื่นเย็นสบาย
กำลังบุญของลูกก็พร้อมที่จะเข้าถึงธรรมแล้ว หลักวิชชาเราก็เข้าใจ
กันอย่างดี เหลือแต่กำลังแห่งความเพียร ให้ใช้เวลาที่เหลืออยู่
มาแสวงหาพระรัตนตรัยในตัวให้ได้ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุก ๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ

อาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

0

ฐานที่ ๗ ตำแหน่งของผู้รู้

ฐานเจ็ด เสด็จเข้า นิพพาน
ฐานเจ็ด เผด็จมาร พ่ายแพ้
ฐานเจ็ด แหล่งสราญ ใจสุข
ฐานเจ็ด คือบ้านแท้ ลูกนั้นทุกคน
ตะวันธรรม

ฐานที่ ๗ ตำแหน่งของผู้รู้
ง่าย..แต่..ลึก 1



(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ............)
...ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ของเราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะว่าเป็นตำแหน่งเดียวที่จะทำให้
เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะหรือความทุกข์ทั้งปวงได้ อย่างน้อยก็เข้า
ถึงความสุขภายใน สุขยิ่งใหญ่ที่ไม่มีประมาณอย่างที่เราไม่เคยเจอ
มาก่อนในชีวิต ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้เป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน เมื่อ
ท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว ใจก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ ตรงนี้ หยุดนิ่งอย่างเดียวตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่ง
บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อพระองค์นำมาอบรมสั่งสอนพระสาวก พระสาวกก็ทำตาม
โดยนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้

เมื่อทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว ใจจะกลับมาหยุดนิ่ง
อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วก็ตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน แล้วก็มี
ดวงธรรมเป็นดวงใส ๆ ลอยขึ้นมา
อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน

สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือยิ่งกว่านั้น แต่จะใส
เหมือนนํ้าบ้าง เหมือนกระจกบ้าง เหมือนเพชรบ้างหรือยิ่งกว่านั้น
บ้าง แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่ไม่เท่ากัน แล้วในที่สุดก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียวเพราะฉะนั้นตำแหน่งฐานที่ ๗ จึงสำคัญมาก ซึ่งพญามารบดบังเอาไว้ไม่ให้เราได้มารู้ มาเห็น มาเข้าใจ
หรือมาหยุดนิ่งตรงนี้ บดบังเอาไว้จนกระทั่งเราไม่รู้จักตำแหน่งนี้เลย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้เราดับทุกข์ได้อีกทั้งพญามารยังดึงใจของเราให้หลุดออกจากฐานที่ ๗ ตรึงไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์แล้วก็เอากฎแห่งกรรมบังคับเอาไว้ ใจก็จะวนเวียนอยู่

กับสิ่งเหล่านั้น ที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เนิ่นช้าต่อการ
บรรลุมรรคผลนิพพานเราจึงดำเนินชีวิตผิดพลาดตลอดเวลาที่ผ่านมาด้วยความไม่รู้ของเรา จนกระทั่งมีการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ พระองค์ต้องสละชีวิตจนพบตำแหน่งนี้ ด้วยบารมีธรรม
๓๐ ทัศเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว จึงพบตำแหน่งนี้เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ในการที่เราได้รู้จักฐานที่ ๗ ต้องถือว่าเป็นบุญของเราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ท่านสละชีวิตค้นพบสิ่งนี้กลับคืนมาใหม่ แล้วนำมาถ่ายทอดจนกระทั่งถึงเรา เราจึงรู้จักศูนย์กลางกายฐานที่ ๗

เพราะฉะนั้นพึงหวงแหนตำแหน่งนี้เอาไว้ให้ดี อย่าให้ใจหลุด
จากตำแหน่งศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หลุดจากตำแหน่งนี้ ใจก็จะมีแต่
ความทุกข์ เพราะหลุดจากตำแหน่งแห่งความสุข หลุดจากตำแหน่งนี้
ก็กลายเป็นผู้ไม่รู้อะไร ต้องอยู่ในตำแหน่งนี้ ต้องฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ให้
ชำนาญ ทำทุกวันโดยไม่มีข้อแม้ ข้ออ้าง เงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น

หยุดแรกนี่สำคัญมาก ทำให้เป็น อย่างนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆ
สบาย ๆ ให้ใจใส ๆ ใจเย็น ๆ ให้เราได้มีประสบการณ์ภายใน รู้จัก
คำว่า “ตกศูนย์” มันมีอาการอย่างไร แล้วธรรมดวงแรกที่ปรากฏที่
เรียกว่า “ปฐมมรรค” หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน นั้นมีลักษณะ

เป็นอย่างไร มีสภาวธรรมเป็นอย่างไร ต้องทำตรงนี้ให้ชำนาญ ให้รู้จัก
ทำซํ้า ๆ อย่างช้า ๆ ชัด ๆ ซํ้าแล้วซํ้าเล่า อย่างเบาสบาย

ถ้าเราได้ครอบครองศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้ครอบครอง
ดวงปฐมมรรค ต่อไปก็ง่ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดวงศีล สมาธิ ปัญญา
วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ที่เราได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ นั้นก็จะปรากฏ
เกิดขึ้นให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้เป็น ได้มีสภาวธรรมอย่างนั้น รู้จัก
อย่างแจ่มแจ้งว่า ทำไมเรียกว่า ดวงศีล เรียกว่า ดวงสมาธิ เรียกว่า
ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็จะแจ่มแจ้ง
กันไปเรื่อย ๆ

ขึ้นอยู่กับหยุดแรก ถ้าเราวางใจเป็น ให้ความสำคัญกับ
ตรงนี้ไม่ให้หลุดจากตำแหน่งนี้เลย แม้ว่าเราจะหลุดจากตำแหน่งอื่น
ทางโลกมาแล้วก็ตาม แต่ตำแหน่งนี้รอคอยเราอยู่ หลุดไม่ได้
หลุดเราก็กลายเป็นผู้ไม่รู้ หลุดก็เป็นผู้ที่มีแต่ความทุกข์ทรมานของ
ชีวิต จิตก็จะไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์เต็มที่

เมื่อใดเห็นธรรมเมื่อนั้นเห็นตถาคต
ธรรมดวงแรกนี้สำคัญมาก ถ้าเราทำจนชำนาญ ทำได้คล่องแล้ว
เราจะเข้าใจคำว่า เมื่อใดเห็นธรรมเมื่อนั้นเห็นพระตถาคตเจ้า

คือวันใดที่เราเข้าถึงปฐมมรรค หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง ใน
กลางของกลางดวงปฐมมรรค พอถูกส่วนเราก็จะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไป
ข้างใน แล้วก็เห็นไปตามลำดับ

เห็นดวงธรรมในดวงธรรม เห็นกายในกายจนกระทั่งไปถึง
กายของพระตถาคตเจ้า คือ พระธรรมกายที่อยู่ในตัว เป็นกายผู้รู้

ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นสรณะทีพึ่งที่ระลึก ที่แท้จริงของเรา มีลักษณะสวยงามมาก ได้ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ เกตุดอกบัวตูม อิริยาบถสมาธิ นั่งอยู่บนแผ่นฌาน กลมแบนใส ๆ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา นั่นแหละพระตถาคตเจ้าที่แท้จริงที่อยู่
ภายในตัวของเรา ซึ่งมีลักษณะเหมือนพระตถาคตเจ้าที่อยู่ในกาย
พระมหาบุรุษ หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เป็นกายธรรม
เช่นเดียวกัน แต่ของท่านเป็นกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีลักษณะหน้าตาเหมือนกัน ต่างแต่ขนาด ความบริสุทธิ์ ความใสที่
แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อใดเห็นธรรมก็จะเห็นพระตถาคตเจ้า
และก็จะเข้าใจคำว่า “พระตถาคตเจ้า” เพิ่มขึ้น

ชีวิตของโลกมายาจะสิ้นสุดเมื่อใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลาง
กายฐานที่ ๗ เราจะเข้าถึงชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง
ซึ่งเป็นสัจธรรม คือสิ่งที่เป็นจริง เป็นชีวิตภายใน ชีวิต
ภายนอกเป็นชีวิตของโลกมายาไม่จีรัง ไม่มีสาระแก่นสาร
อะไรทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ใจหยุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระผู้ปราบมาร ท่านเทศน์ยํ้าอยู่เสมอว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ” ที่จะ
ทำให้แจ่มแจ้งทั้งเรื่องทางโลกและทางธรรม ทำให้แจ่มแจ้งเหมือนเรา
ดึงของออกจากที่มืดมาอยู่กลางแจ้ง ก็จะเห็นชัดเจนว่า มันคืออะไร
ใจหยุดนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

ชีวิตคือการเข้ากลาง กลางใจที่หยุดนิ่งนั้นเรื่อยไป จึงจะพ้น
จากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารที่เขาเอากิเลสอาสวะมา
66

บังคับบัญชาให้เราตกเป็นบ่าวเป็นทาสของเขา บังคับให้เรากระทำ
ผิดทางกายวาจาใจด้วยความไม่รู้ แล้วก็เอาวิบากกรรมมาบังคับซํ้าไป
อีก อีกทั้งเอาธาตุปิดธาตุบังไม่ให้รู้เรื่องราวสิ่งเหล่านี้ด้วย เราจึงต้อง
เสียเวลาในการเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน

การเกิดมาด้วยความไม่รู้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะชีวิตก็
จะวนเวียนอยู่ในภพ ๓ อยู่ในคติทั้งสอง คือ สุคติกับทุคติ วนไป
เวียนมาอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้นเมื่อมีการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สิ่งเหล่านี้ก็หมดไป ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ที่ให้
ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เรื่อยไปเลย
อย่างสบาย ๆ เอาตรงนี้ให้ได้ซะก่อน ให้รู้จักว่าใจหยุดนิ่งเป็นอย่างไร
ตกศูนย์เป็นอย่างไร ธรรมดวงแรกเป็นอย่างไร ความบริสุทธิ์เป็น
ดวงใส ๆ ถูกส่วนเป็นอย่างไร ทำความรู้จักตรงนี้ให้ดีให้แจ่มแจ้ง

เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่นี้ เราก็ฝึกใจให้หยุดนิ่งนุ่ม ๆ
อย่างเบา ๆ สบาย ๆ ใจใส ๆ ใจเย็น ๆ ประคองใจให้หยุดนิ่งด้วย
บริกรรมภาวนาในใจเบา ๆ ว่า สัมมา อะระหัง เรื่อยไปนะ ต่างคน
ต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ
อาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

0

Facebook