อีกเรื่องที่ผมอยากจะกราบเรียนถาม ๖-๗ ปีที่ผ่านมา ผมกำลังศึกษาใน
ระดับปริญญาโท ช่วงนั้นผมและภรรยามักจะทะเลาะกัน ไม่พูดกัน แต่ก็คืนดีกันโดยใช้เวลาไม่นาน
ภรรยาของผมคงมีผลบุญที่เธอทำไว้ดีแล้ว เธอจึงปีติยินดีต่อการสร้างบุญ สร้างบารมีอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้เธอปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ตามธรรมชาติของสามีภรรยา แต่ผมยังลดเลิกเรื่องแบบนั้นไม่ได้ ภรรยาของผมเธอมักบอกว่า เหนื่อย อยากพักผ่อน วันนี้หรือวันไหน ๆ เธอก็ไม่ค่อยสบาย พูดง่าย ๆ ไม่สบายทั้ง ๗ วัน หรือก็เลี่ยงตอบว่า เออ เราก็รักกันแล้วไม่ต้องอะไรก็ได้นะ จนผมเกิดอาการฟุ้งซ่าน หงุดหงิด โกรธง่าย
ช่วงนั้นอินเตอร์เน็ตกำลังฮิต ผู้คนจะใช้เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งมีทุกประเภท รวมทั้ง Web site ประเภทลามกอนาจาร ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เข้าไปอยู่ใน Web site ดังกล่าว
ซึ่งผมก็พยายามจะตัดเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน แต่ก็ยังทำไม่ได้ เหมือนกับว่า บุญก็ทำ กรรมก็ก่อสร้าง พยายามนั่งสมาธิ ผลก็ยังไม่ก้าวหน้า ทำให้ผมเข้าไปเล่นอินเตอร์เน็ตใน Chat room เพื่อหาเพื่อนคุย ฟุ้งซ่านจนเก็บเอาไปฝันว่า ได้รู้จักเพื่อนหญิงคนใหม่จนมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเธอผู้นั้น
ผมตกใจมาก แม้จะเป็นเพียงความฝันก็รู้สึกผิด พยายามลืมและข่มอารมณ์นี้ เพราะผมรักภรรยามาก กลัวเธอจะคิดมากและเสียใจ จึงเลิกเล่น chat room อย่างเด็ดขาดนับแต่นั้นเป็นต้นมา
อยากให้คำแนะนำว่า เมื่อใดที่ลูกหลานใช้อินเตอร์เน็ต จะต้องเฝ้าดูแลการใช้งานอย่างเต็มที่ เพื่อมิให้หลงทางไปพบ Web site ที่เป็นแหล่งอบายมุขที่ไม่ดีงาม เราสามารถป้องกันลูกหลานได้ เพราะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยสอดส่องการใช้งานได้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี และดีที่สุด คือส่งเสริมให้ทุกครอบครัวชมดาวธรรม เพราะ DMC ช่องนี้ช่องเดียวมีคุณครูไม่ใหญ่ให้ความรู้ของชีวิต ดีกว่าสื่อที่อยู่ในโลกนี้
ผมไม่อยากให้วิบากกรรมของผมมาเป็นตัวฉุดรั้งการสร้างบารมีของภรรยา ผมรักเธอมาก ผมอยากให้ครอบครัวเราเป็นครอบครัวสวรรค์ เพื่อร่วมสร้างบารมีไปด้วยกันครับ
คุณครูไม่ใหญ่:
เรื่องความต้องการทางธรรมชาติ ระหว่างสามีภรรยานั้น ก็ไม่ได้มีหรือเป็นวิบากกรรมอะไร และมนุษย์ก็ต้องเกิดมาจากบิดามารดา เพราะฉะนั้นการที่ลูกทั้งสองเป็นคู่บุญ คู่บารมี สั่งสมบุญมาด้วยกัน แล้วมาอยู่ร่วมกันอีกก็เป็นเรื่องปกติ
ก็เป็นเรื่องที่ลูกทั้งสองต้องไปคุยกัน ทำความเข้าใจกันให้ดี ซึ่งก็มีตัวอย่างให้ลูกได้ศึกษา เพราะบางบ้านปลดจานดาวธรรมออกเลยนะ ก็แม่บ้านมัวดูแต่จานดาวธรรม แต่พ่อบ้านดูจอมุ้งอะไรอย่างนี้ ก็ต้องดูให้ดี ปรับให้พอดี ๆ
ดูตัวอย่างนางวิสาขา เป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ต่อมาแต่งงาน พระโสดาบันคือพระอริยบุคคลนะ ยังต้องครองเรือน แล้วมีลูกด้วยกัน ของลูกมีแค่ ๒ คน แต่นางวิสาขามหาอุบาสิกามี ๒๐ คน ผู้ชาย ๑๐ ผู้หญิง ๑๐
นางวิสาขาท่านเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี และทำหน้าที่ได้ดี ท่านแยกออกระหว่างกายมนุษย์กับเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติของสามีภรรยา ที่ถูกศีลถูกธรรม ถูกขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันดี ที่มีผัวเดียว เมียเดียว แล้วก็ถูกกฎหมาย
ถ้าหากว่าท่านไปฝืนสิ่งเหล่านั้น มันก็จะเกิดความขัดข้อง ทำให้การมาสร้างบารมีลำบาก ท่านถือว่าเป็นเรื่องของกายมนุษย์ แล้วก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสามีภรรยาทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านยังทำอย่างนี้ ลูกทั้งสองก็ไปศึกษากันให้ดี และปรึกษากัน
บางคู่ทำได้ ถ้าทั้งสองมีความเห็นตรงกันว่า เราจะประพฤติพรหมจรรย์ หลังจากเรามีบุตรกันมาแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์ในบ้าน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพระอรหันต์ในบ้าน เป็นพรหมของลูกแล้ว มีผู้สืบสกุลแล้วว่า ต่อจากนี้ไป เราจะอยู่กันเหมือนพี่ เหมือนน้อง ซึ่งเราก็มีตัวอย่างนี้เหมือนกัน คือ
นางภัททิกาปิลานี กับปิปผลิมาณพ อยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยากันมาเป็นแสนชาติ ไม่เคยพลัดพรากจากกันเลย เป็นผัวเดียวเมียเดียวอย่างนี้ต่อเนื่องกันมาตลอดแสนชาติ จนกระทั่งชาติสุดท้าย แต่งงานกันแต่อยู่ด้วยกันแบบพี่กับน้อง เวลานอนก็จะเอาพวงมาลัยดอกไม้มาอธิษฐานจิตร่วมกัน แล้ววางไว้ตรงกลางระหว่างทั้งสองว่า ถ้าใจเรามีความรู้สึกฉันสามีภรรยาก็ให้ดอกไม้เหี่ยว แต่ถ้าหากไม่มีก็ขอให้ดอกไม้สดชื่นตลอด ปรากฏว่า สดชื่นตลอดเวลาเลย และในที่สุดบารมีเต็มเปี่ยมก็ออกบวชด้วยกันทั้งคู่ ถึงเวลาแยกกันไปออกบวช เกิดแผ่นดินไหวนะ
นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ที่ลูกก็ต้องศึกษาดูว่า ลูกจะอยู่ประเภทไหน บางคู่ก็ทำได้ แต่
บางคู่ก็ยาก
ถ้าจะประพฤติพรหมจรรย์ ก็ทำกันก่อนแต่ง แล้วมาบวชเสีย อย่างนั้นถึงจะถูกหลักวิชชา แต่ถ้าหากว่า แต่งงานกันแล้ว เราก็ต้องเข้าใจว่า เราพร้อมเสมอที่จะมีธรรมเนียมปฏิบัติแบบสามีภรรยา
หรืออีกวิธีหนึ่ง จะทำอย่างนางอุตตราก็ได้ จ้างนางสิริมาซึ่งเป็นหญิงงามเมืองให้มาปรนนิบัติสามีแทนตน ฝ่ายภรรยาก็จะได้เลี้ยงพระ ประพฤติพรหมจรรย์ในช่วงนั้นๆ ได้ เอาอย่างนี้ก็ได้ ถ้าไม่หึงนะ หรือเรียกว่าใจกว้าง ก็เอาแบบนางอุตตรา อันนี้ก็ต้องศึกษา ซึ่งแล้วแต่ลูกจะเลือกเอาแบบไหน ต้องไปหารือกัน
เพราะว่าบางทีภรรยา เมื่อมีลูกด้วยกันแล้ว เข้าวัดแล้ว ศึกษาธรรมะก็เกิดเบื่อหน่ายในสิ่งนี้ แต่ทีนี้ผลไม้มันสุกไม่พร้อมกัน ฝ่ายชายอินทรีย์ยังอ่อน ยังตามไม่ทัน ก็เลยหงุดหงิด ทีนี้ ภรรยาอยากประพฤติพรหมจรรย์ และไม่อยากให้สามีมีเมียน้อย ไอ้สองอย่างนี้จะมาอยู่ด้วยกันยังไง ฉันอยากให้เธอมีฉันคนเดียว แต่ฉันก็ไม่ยอมเป็นของเธออะไรอย่างนี้ ฟังแล้วมึนหมือนกัน มันอย่างนี้ มันมีอยู่ ของประเภทผู้ที่เข้าวัดนี่
เพราะฉะนั้น เมื่อผลไม้มันสุกไม่เท่ากัน ก็ต้องไปหาทางออกอย่างอื่น ซึ่งเป็นทางมาแห่งปัญหาของครอบครัวอีก ฝ่ายหญิงต้องเข้าวัด ประพฤติพรหมจรรย์ สั่งสมความดี ก็มารำพึงให้ครูไม่ใหญ่ฟังนี่ มันเรื่องจริง ๆ นะ เอ๊ะ ทำไมบุญไม่เห็นช่วยเลย บุญน่ะช่วย แต่เธอต้องช่วยด้วย ช่วยทำความเข้าใจด้วย
ก็ต้องไปคุยไปหารือกันนะลูกนะ ซึ่งมันก็มีทางออก ที่ครูไม่ใหญ่เคยเสนอแนะ วันพระเราเว้น แล้วเราก็เพิ่มได้ วันโกนก่อนวันพระ แล้วหลังวันพระอีกวันเขาเรียกว่า วันรับ วันจริง วันส่ง ๓ วัน หนึ่งเดือนมี ๔ วันพระ ก็เป็น ๑๒ วันแล้ว วันเกิด สมมติเราเกิดวันพุธ อีกฝ่ายเกิดพฤหัส วันพุธวันพฤหัสก็เว้นอีก ๒ อีก ๔ ก็เป็น ๘ ๘ บวก ๑๒ ก็ ๒๐ ถ้าเราจะเผื่อให้พ่อวัน แม่วันหรือให้ลูกเราอีกคนละวัน ก็ไปหารือกันสิ เรื่องเหล่านี้ลูกทำความเข้าใจกันได้ ไปหารือกัน แล้วจะเป็นครอบครัวสวรรค์
คุณครูไม่ใหญ่
20 เมษายน พ.ศ. 2548
คุณครูไม่ใหญ่ตอบได้แจ่มแจ้งมากเจ้าค่ะ
ตอบลบ