ตั้งแต่โบราณมา เรามักจะได้ยิน คำว่า “ภูตผีปีศาจ” กระทั่งทำให้เข้าใจว่าเป็นคำ ๆ เดียว แต่จริง ๆ แล้วคนละอย่างกัน คือต้นเดียวกัน แต่ว่าคนละกิ่ง คนละแขนง ภูตอย่างหนึ่ง ผีอย่างหนึ่ง ปีศาจอีกอย่างหนึ่ง มีหน้าตา พฤติกรรม และความสามารถแตกต่างกัน นี่แสดงว่า บรรพบุรุษของเราท่านไม่ใช่งมงาย แต่ท่านมีดวงปัญญาที่สว่างไสวมาก แต่คนในยุคนี้ไม่ทราบความหมายของคำที่ท่านพูดทิ้งเอาไว้ บางคนไปเหมาเข้าใจเองว่า ภูต ผี ปีศาจ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ไม่มีจริง เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นบ้าง หรือปลอมปนกันขึ้นมาบ้าง ความจริง ภูต ผี ปีศาจ มีจริง ซึ่งมีกล่าวไว้มากมายในพระไตรปิฎก เมื่อเรายังไม่ได้พิสูจน์ หรือ พิสูจน์ไม่ได้เพราะทำไม่จริงจังหรือไม่ถูกหลักวิชชา ไม่ควรไปสรุปอย่างนั้น เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ แต่ต้องพิสูจน์แบบพุทธวิธี และทุกคนในโลกสามารถพิสูจน์ได้ ยกเว้นบุคคล ๒ ประเภท คือ คนตายและคนบ้า ปัญญาอ่อน เพราะเขาสูญเสียระบบประสาทการเรียนรู้ แต่ถ้าคนดี ๆ สามารถพิสูจน์ได้ทุกคน ไม่จำกัดกาลเวลา แค่ทำให้ถูกหลักวิชชาอย่างจริงจังก็ทำได้ทั้งนั้น · ผี ผีก็คืออดีตมนุษย์ มีภพภูมิอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก แต่เป็นภพซ้อนภพ คำว่า “ผี” มีความหมายกว้างมาก เพราะรวมถึงกายละเอียดในระดับพื้นมนุษย์หลาย ๆ อย่าง เช่น สัมภเวสี ภุมเทวา ยักษ์ วิทยาธร เป็นต้น เราควรมาศึกษาทำความรู้จักกับเพื่อนอดีตมนุษย์บ้าง เราจะได้รู้ว่า ความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างไร ทำไมเขาต้องไปอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว · ผีกระสือ กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง วิบากกรรมที่ทำให้เป็นภูต ตอนเป็นมนุษย์หากินทางมิชอบ คือ หลอกลวง ต้มตุ๋น เพื่อนมนุษย์ เช่น นำของปลอมมาหลอกขายเป็นของจริงหรือของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ตายแล้วก็จะไปเป็นเปรตก่อน มีความหิวโหยมาก ชอบกินมูตรคูถ ของบูดของเน่าเพราะวิบากกรรมมีพฤติกรรมสกปรก โลภอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นในทางมิชอบ เมื่อพ้นสภาพจากเปรต หากกรรมยังไม่หมดก็จะมาเกิดเป็นภูต จะกินได้เฉพาะของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็น โดยจะเข้ามาสิงคนที่มีวิบากกรรมเหมือนที่ตัวเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ และไม่ใช่จะเข้าสิงใครก็ได้ จะเข้าสิงได้เฉพาะบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ คือมีวิบากกรรมอย่างเดียวกัน มันถึงจะดูดไปหากันได้ ภูตมีลักษณะรูปร่างคล้าย ๆ ผี แต่มีฤทธิ์มากกว่า คือสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ แต่ผีแปลงกายไม่ได้ ภูตบางตนแปลงได้มาก บางตนแปลงได้น้อย บางภูตแปลงได้ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง บางภูตแปลงได้แค่เป็นหมาดำตัวใหญ่ บางภูตแปลงเป็นงูได้ เป็นต้น ภูตจะมีชีวิตสิงมนุษย์อยู่ ยิ่งอยู่นานไปก็จะยึดทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้น เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่าง ๆ และขยายขึ้นคลุมต้นไม้ พวกนี้จะชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีหัวและไส้ตามที่เข้าใจ จะถอดจิตของเจ้าของร่างออกขณะเจ้าของร่างนอนหลับ เมื่อถอดไปแล้วเจ้าของร่างก็ไปไหนไม่ได้ จะเห็นเป็นดวงไฟสว่างเป็นสี ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อหาอาหาร ดวงนั้นก็คือดวงจิตของมนุษย์ที่มีวิบากกรรม แล้วถูกบังคับให้ออกมา โดยภูตจะหุ้มดวงจิตนั้นไว้ ซึ่งมนุษย์จะเห็นแค่เพียงดวงลอยไปเท่านั้น แต่มองไม่เห็นตัวภูต ชอบกินของสกปรก ของคาว ของเหม็นเน่า เวลากินจะแปลงร่างเป็นภูตก่อน มีรูปร่างคล้าย ๆ คน รูปร่างผอมดำน่าเกลียด ไม่นุ่งผ้า แต่คนจะมองเห็นแค่ดวง แต่ตัวก็จะแปลงพรึบขึ้นมาเลย มันจะกึ่งหยาบกึ่งละเอียด แล้วก็กินของเน่าสกปรกด้วยความเอร็ดอร่อย เพราะวิบากกรรมบังคับ กินเสร็จแล้วจะมาเช็ดปากกับเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งไว้ค้างคืน แล้วทิ้งร่องรอยสกปรกไว้ มีความเชื่อว่า ถ้าเอาผ้าที่ผีกระสือเช็ดปากไปฟาดที่บันได จะทำให้คนที่เป็นกระสือเกิดปากบวมบ้าง หรือเอาผ้าไปต้มให้ปวดแสบปวดร้อนบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องราวที่เสริมแต่งกันไป ผีกระสือมีทั้งหญิงและชาย ชื่อนั้นก็แล้วแต่มนุษย์จะสมมติเรียก เช่น ผู้หญิงก็เรียกว่าผีกระสือ ผู้ชายก็สมมติเรียกว่าผีกระหัง แต่ผีกระหังไม่มีกระด้งเป็นปีกหรือมีหางเป็นสากตำข้าว อันนี้มนุษย์ก็สมมติกันขึ้นมา จะมีการสืบทอดจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่งเมื่อวิบากกรรมนั้นยังไม่หมดและมีหลากหลายวิธี โดยผู้ที่จะมารับสืบทอดต้องมีกรรมชนิดเดียวกัน ถ้าไม่มีผู้มีกรรมแบบเดียวกัน ภูตก็ต้องตายไปพร้อมกับร่างที่สิงนั้น คล้ายต้นกาฝากตายพร้อมกับต้นไม้ที่ตนเกาะอยู่ แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามวิบากกรรมต่อ เหมือนตายจากเปรตมาเป็นภูต ตายจากภูตก็ไปเป็นอะไรต่ออะไรตามวิบากกรรมที่ทำมา · ผีปอบ ผีปอบ คือ ผีสายยักษ์ อยู่ในสายการปกครองของท้าวเวสสุวัณ ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ก็เพื่ออาศัยร่างมนุษย์กินอาหาร โดยเฉพาะอาหารดิบ ๆ หรือสัตว์เป็น ๆ เช่น ไปหักคอเป็ดไก่ในเล้ากิน หรืออาศัยร่างเหมือนเป็นร่างทรงเพื่อยกระดับตัวเองว่า มีผู้นับถือมาก ๆ หรือเพื่อทำร้ายให้เจ็บป่วยหรือตาย เพื่อที่ว่าตายแล้วจะได้ไปเป็นบริวารหรือสานุศิษย์ หรือตายแทน เพื่อตนจะได้ไปเกิดใหม่ ไม่ใช่ว่าเข้าสิงได้ทุกคน จะเข้าสิงร่างมนุษย์ที่มีวิบากกรรมทางนี้ คือ อดีตเคยนับถือผีเป็นที่พึ่งที่ระลึกยามมีทุกข์ จนเป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา มีจิตผูกพันกับผี และกรรมทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี บางทีก็ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น เป็ด ไก่ บางทีก็ฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย เป็นต้น จึงทำให้พวกนี้มาเข้าร่างได้ การเข้าสิงเขาจะกดทับด้วยมนตร์ทำให้ขาดสติ หรือหมดสติไป ขึ้นอยู่กับว่าทับครึ่งตัวหรือว่าเต็มตัว ถ้าครึ่งตัวก็จะขาดสติ แต่พอรู้อยู่บ้าง แต่ว่าบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเต็มตัวนี่จะหมดสติไม่รู้สึกตัว · กำเนิดความเชื่อการนับถือผี เซ่นไหว้ผี ทำไมคนเราจึงเกิดมาต่างกัน ทำไมบางคนจึงต้องไปเกิดในหมู่บ้านที่มีคนนับถือผี เลี้ยงผี ที่ไปเกิดตรงนั้น เพราะมีวิบากกรรมหลายอย่าง เช่น ทำทานมาน้อย มีความตระหนี่ อวดดื้อถือดีจัดจนเป็นนิสัย เลยทำให้ไปเกิดในหมู่บ้านชาวป่าที่นับถือผี มีการฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี ตามความเชื่อถือของบรรพบุรุษ ที่จริงการฆ่าสัตว์ใหญ่สัตว์เล็กเซ่นไหว้ผีนั้น เป็นเพราะความไม่รู้ว่าจะไปพึ่งอะไรในยามที่มีทุกข์ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่รู้สาเหตุมาจากอะไร ก็เลยคิดว่าผีทำจึงทำการเซ่นไหว้ผี ซึ่งบางครั้งก็หาย บางครั้งก็ไม่หาย ที่หายเพราะว่าโรคมีน้อยกับหมดกรรม จึงคิดว่าผีช่วย จิตก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องผี ๆ ตายแล้วก็กลายไปเป็นผีบ้าง ปีศาจบ้าง ก็หมุนเวียนวนกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ได้รู้ว่ามีผีหรือไม่มี เมื่อมีความทุกข์ก็คิดว่า ผีแกล้ง จะต้องเซ่นไหว้ แล้วผีจะช่วย นานวันเข้าเมื่อนับถือผีแล้ว ใจก็ผูกพันอยู่กับผี ตายแล้วก็ไปเป็นผี ต่อมาจึงกลายเป็นเลี้ยงผีจริง แต่เดิมผียังไม่มี แต่คิดว่ามี พอคิดว่ามี ใจก็ไปผูกพันกับความไม่รู้ตรงนี้ เอาของมาเซ่นไหว้ แล้วยิ่งบังเอิญเซ่นแล้วหายป่วย ก็เซ่นไหว้ด้วยการฆ่าสัตว์ทำปาณาติบาตเข้าไปอีก ก็ยิ่งเห็นผิดเข้าไปอีก พอตายไปแล้ววิบากกรรมทำให้ไปเกิดเป็นผีอยู่แถวนั้น เมื่อความเชื่อสืบทอดมาถึงชนรุ่นหลัง คราวนี้ก็ได้นับถือผีจริง ๆ แต่ผีก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตัวเองก็ลำบาก อด ๆ อยาก ๆ ต่อมาผู้ที่ตายก็กลายเป็นผี มีผีบางตนไปพบกับวิทยาธร ก็ขอเรียนมนตร์เรียนไสยเวท ซึ่งส่วนมากมักจะเรียนเพื่อมุ่งทำลายล้างกันเป็นส่วนใหญ่ ก็จะมีวิชาพวกนี้ มากระซิบข้างหู ให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เลยนับถือสืบ ๆ กันต่อ ๆ กันเรื่อยมา เพราะฉะนั้น คนที่ถูกผีเข้า ผีสิง หรือเกิดในครอบครัวนับถือผี จะพ้นจากกรรมพวกนี้ได้ ต้องเลิกนับถือผี แล้วให้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ทำบุญทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนาให้สม่ำเสมอจนตลอดชีวิต ก็จะพ้นจากกรรมเหล่านี้ได้ ใจผูกพันกับอะไรก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น ผูกพันกับคนก็ไปอยู่กันคน ผูกพันกับสิ่งของ ผูกพันกับสัตว์ ผูกพันกับวิชา หรือผูกพันกับสิ่งที่ตัวนับถืออย่างไร มันก็จะไปอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้ผูกพันกับสิ่งใดที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร แต่ให้มาผูกพันกับพระรัตนตรัย เพราะพระรัตนตรัยเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง คุณครูไม่ใหญ่
ตั้งแต่โบราณมา เรามักจะได้ยิน คำว่า “ภูตผีปีศาจ” กระทั่งทำให้เข้าใจว่าเป็นคำ ๆ เดียว แต่จริง ๆ แล้วคนละอย่างกัน คือต้นเดียวกัน แต่ว่าคนละกิ่ง คนละแขนง
ภูตอย่างหนึ่ง ผีอย่างหนึ่ง ปีศาจอีกอย่างหนึ่ง
มีหน้าตา พฤติกรรม และความสามารถแตกต่างกัน
นี่แสดงว่า บรรพบุรุษของเราท่านไม่ใช่งมงาย แต่ท่านมีดวงปัญญาที่สว่างไสวมาก แต่คนในยุคนี้ไม่ทราบความหมายของคำที่ท่านพูดทิ้งเอาไว้ บางคนไปเหมาเข้าใจเองว่า ภูต ผี ปีศาจ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ไม่มีจริง เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นบ้าง หรือปลอมปนกันขึ้นมาบ้าง
ความจริง ภูต ผี ปีศาจ มีจริง ซึ่งมีกล่าวไว้มากมายในพระไตรปิฎก เมื่อเรายังไม่ได้พิสูจน์ หรือ พิสูจน์ไม่ได้เพราะทำไม่จริงจังหรือไม่ถูกหลักวิชชา ไม่ควรไปสรุปอย่างนั้น เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ แต่ต้องพิสูจน์แบบพุทธวิธี และทุกคนในโลกสามารถพิสูจน์ได้ ยกเว้นบุคคล ๒ ประเภท คือ คนตายและคนบ้า ปัญญาอ่อน เพราะเขาสูญเสียระบบประสาทการเรียนรู้ แต่ถ้าคนดี ๆ สามารถพิสูจน์ได้ทุกคน ไม่จำกัดกาลเวลา แค่ทำให้ถูกหลักวิชชาอย่างจริงจังก็ทำได้ทั้งนั้น
· ผี
ผีก็คืออดีตมนุษย์ มีภพภูมิอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก แต่เป็นภพซ้อนภพ คำว่า “ผี” มีความหมายกว้างมาก เพราะรวมถึงกายละเอียดในระดับพื้นมนุษย์หลาย ๆ อย่าง เช่น สัมภเวสี ภุมเทวา ยักษ์ วิทยาธร เป็นต้น เราควรมาศึกษาทำความรู้จักกับเพื่อนอดีตมนุษย์บ้าง เราจะได้รู้ว่า ความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างไร ทำไมเขาต้องไปอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว
· ผีกระสือ
กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง วิบากกรรมที่ทำให้เป็นภูต ตอนเป็นมนุษย์หากินทางมิชอบ คือ หลอกลวง ต้มตุ๋น เพื่อนมนุษย์ เช่น นำของปลอมมาหลอกขายเป็นของจริงหรือของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ตายแล้วก็จะไปเป็นเปรตก่อน มีความหิวโหยมาก ชอบกินมูตรคูถ ของบูดของเน่าเพราะวิบากกรรมมีพฤติกรรมสกปรก โลภอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นในทางมิชอบ
เมื่อพ้นสภาพจากเปรต หากกรรมยังไม่หมดก็จะมาเกิดเป็นภูต จะกินได้เฉพาะของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็น โดยจะเข้ามาสิงคนที่มีวิบากกรรมเหมือนที่ตัวเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ และไม่ใช่จะเข้าสิงใครก็ได้ จะเข้าสิงได้เฉพาะบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ คือมีวิบากกรรมอย่างเดียวกัน มันถึงจะดูดไปหากันได้
ภูตมีลักษณะรูปร่างคล้าย ๆ ผี แต่มีฤทธิ์มากกว่า คือสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ แต่ผีแปลงกายไม่ได้ ภูตบางตนแปลงได้มาก บางตนแปลงได้น้อย บางภูตแปลงได้ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง บางภูตแปลงได้แค่เป็นหมาดำตัวใหญ่ บางภูตแปลงเป็นงูได้ เป็นต้น
ภูตจะมีชีวิตสิงมนุษย์อยู่ ยิ่งอยู่นานไปก็จะยึดทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้น เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่าง ๆ และขยายขึ้นคลุมต้นไม้ พวกนี้จะชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีหัวและไส้ตามที่เข้าใจ จะถอดจิตของเจ้าของร่างออกขณะเจ้าของร่างนอนหลับ เมื่อถอดไปแล้วเจ้าของร่างก็ไปไหนไม่ได้ จะเห็นเป็นดวงไฟสว่างเป็นสี ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อหาอาหาร
ดวงนั้นก็คือดวงจิตของมนุษย์ที่มีวิบากกรรม แล้วถูกบังคับให้ออกมา โดยภูตจะหุ้มดวงจิตนั้นไว้ ซึ่งมนุษย์จะเห็นแค่เพียงดวงลอยไปเท่านั้น แต่มองไม่เห็นตัวภูต
ชอบกินของสกปรก ของคาว ของเหม็นเน่า เวลากินจะแปลงร่างเป็นภูตก่อน มีรูปร่างคล้าย ๆ คน รูปร่างผอมดำน่าเกลียด ไม่นุ่งผ้า แต่คนจะมองเห็นแค่ดวง แต่ตัวก็จะแปลงพรึบขึ้นมาเลย มันจะกึ่งหยาบกึ่งละเอียด แล้วก็กินของเน่าสกปรกด้วยความเอร็ดอร่อย เพราะวิบากกรรมบังคับ กินเสร็จแล้วจะมาเช็ดปากกับเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งไว้ค้างคืน แล้วทิ้งร่องรอยสกปรกไว้ มีความเชื่อว่า ถ้าเอาผ้าที่ผีกระสือเช็ดปากไปฟาดที่บันได จะทำให้คนที่เป็นกระสือเกิดปากบวมบ้าง หรือเอาผ้าไปต้มให้ปวดแสบปวดร้อนบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องราวที่เสริมแต่งกันไป
ผีกระสือมีทั้งหญิงและชาย ชื่อนั้นก็แล้วแต่มนุษย์จะสมมติเรียก เช่น ผู้หญิงก็เรียกว่าผีกระสือ ผู้ชายก็สมมติเรียกว่าผีกระหัง แต่ผีกระหังไม่มีกระด้งเป็นปีกหรือมีหางเป็นสากตำข้าว อันนี้มนุษย์ก็สมมติกันขึ้นมา
จะมีการสืบทอดจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่งเมื่อวิบากกรรมนั้นยังไม่หมดและมีหลากหลายวิธี โดยผู้ที่จะมารับสืบทอดต้องมีกรรมชนิดเดียวกัน ถ้าไม่มีผู้มีกรรมแบบเดียวกัน ภูตก็ต้องตายไปพร้อมกับร่างที่สิงนั้น คล้ายต้นกาฝากตายพร้อมกับต้นไม้ที่ตนเกาะอยู่ แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามวิบากกรรมต่อ เหมือนตายจากเปรตมาเป็นภูต ตายจากภูตก็ไปเป็นอะไรต่ออะไรตามวิบากกรรมที่ทำมา
· ผีปอบ
ผีปอบ คือ ผีสายยักษ์ อยู่ในสายการปกครองของท้าวเวสสุวัณ ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ก็เพื่ออาศัยร่างมนุษย์กินอาหาร โดยเฉพาะอาหารดิบ ๆ หรือสัตว์เป็น ๆ เช่น ไปหักคอเป็ดไก่ในเล้ากิน หรืออาศัยร่างเหมือนเป็นร่างทรงเพื่อยกระดับตัวเองว่า มีผู้นับถือมาก ๆ หรือเพื่อทำร้ายให้เจ็บป่วยหรือตาย เพื่อที่ว่าตายแล้วจะได้ไปเป็นบริวารหรือสานุศิษย์ หรือตายแทน เพื่อตนจะได้ไปเกิดใหม่
ไม่ใช่ว่าเข้าสิงได้ทุกคน จะเข้าสิงร่างมนุษย์ที่มีวิบากกรรมทางนี้ คือ อดีตเคยนับถือผีเป็นที่พึ่งที่ระลึกยามมีทุกข์ จนเป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา มีจิตผูกพันกับผี และกรรมทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี บางทีก็ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น เป็ด ไก่ บางทีก็ฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย เป็นต้น จึงทำให้พวกนี้มาเข้าร่างได้
การเข้าสิงเขาจะกดทับด้วยมนตร์ทำให้ขาดสติ หรือหมดสติไป ขึ้นอยู่กับว่าทับครึ่งตัวหรือว่าเต็มตัว ถ้าครึ่งตัวก็จะขาดสติ แต่พอรู้อยู่บ้าง แต่ว่าบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเต็มตัวนี่จะหมดสติไม่รู้สึกตัว
· กำเนิดความเชื่อการนับถือผี เซ่นไหว้ผี
ทำไมคนเราจึงเกิดมาต่างกัน ทำไมบางคนจึงต้องไปเกิดในหมู่บ้านที่มีคนนับถือผี เลี้ยงผี ที่ไปเกิดตรงนั้น เพราะมีวิบากกรรมหลายอย่าง เช่น ทำทานมาน้อย มีความตระหนี่ อวดดื้อถือดีจัดจนเป็นนิสัย เลยทำให้ไปเกิดในหมู่บ้านชาวป่าที่นับถือผี มีการฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี ตามความเชื่อถือของบรรพบุรุษ
ที่จริงการฆ่าสัตว์ใหญ่สัตว์เล็กเซ่นไหว้ผีนั้น เป็นเพราะความไม่รู้ว่าจะไปพึ่งอะไรในยามที่มีทุกข์ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่รู้สาเหตุมาจากอะไร ก็เลยคิดว่าผีทำจึงทำการเซ่นไหว้ผี ซึ่งบางครั้งก็หาย บางครั้งก็ไม่หาย ที่หายเพราะว่าโรคมีน้อยกับหมดกรรม จึงคิดว่าผีช่วย จิตก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องผี ๆ ตายแล้วก็กลายไปเป็นผีบ้าง ปีศาจบ้าง ก็หมุนเวียนวนกันอยู่อย่างนี้
ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ได้รู้ว่ามีผีหรือไม่มี เมื่อมีความทุกข์ก็คิดว่า ผีแกล้ง จะต้องเซ่นไหว้ แล้วผีจะช่วย นานวันเข้าเมื่อนับถือผีแล้ว ใจก็ผูกพันอยู่กับผี ตายแล้วก็ไปเป็นผี ต่อมาจึงกลายเป็นเลี้ยงผีจริง แต่เดิมผียังไม่มี แต่คิดว่ามี พอคิดว่ามี ใจก็ไปผูกพันกับความไม่รู้ตรงนี้ เอาของมาเซ่นไหว้ แล้วยิ่งบังเอิญเซ่นแล้วหายป่วย ก็เซ่นไหว้ด้วยการฆ่าสัตว์ทำปาณาติบาตเข้าไปอีก ก็ยิ่งเห็นผิดเข้าไปอีก พอตายไปแล้ววิบากกรรมทำให้ไปเกิดเป็นผีอยู่แถวนั้น
เมื่อความเชื่อสืบทอดมาถึงชนรุ่นหลัง คราวนี้ก็ได้นับถือผีจริง ๆ แต่ผีก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตัวเองก็ลำบาก อด ๆ อยาก ๆ ต่อมาผู้ที่ตายก็กลายเป็นผี มีผีบางตนไปพบกับวิทยาธร ก็ขอเรียนมนตร์เรียนไสยเวท ซึ่งส่วนมากมักจะเรียนเพื่อมุ่งทำลายล้างกันเป็นส่วนใหญ่ ก็จะมีวิชาพวกนี้ มากระซิบข้างหู ให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เลยนับถือสืบ ๆ กันต่อ ๆ กันเรื่อยมา
เพราะฉะนั้น คนที่ถูกผีเข้า ผีสิง หรือเกิดในครอบครัวนับถือผี จะพ้นจากกรรมพวกนี้ได้ ต้องเลิกนับถือผี แล้วให้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ทำบุญทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนาให้สม่ำเสมอจนตลอดชีวิต ก็จะพ้นจากกรรมเหล่านี้ได้
ใจผูกพันกับอะไรก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น ผูกพันกับคนก็ไปอยู่กันคน ผูกพันกับสิ่งของ ผูกพันกับสัตว์ ผูกพันกับวิชา หรือผูกพันกับสิ่งที่ตัวนับถืออย่างไร มันก็จะไปอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้ผูกพันกับสิ่งใดที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร แต่ให้มาผูกพันกับพระรัตนตรัย เพราะพระรัตนตรัยเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
คุณครูไม่ใหญ่