ภูต ผี ปีศาจ มีจริงไหม?


 

         ตั้งแต่โบราณมา เรามักจะได้ยิน คำว่า ภูตผีปีศาจกระทั่งทำให้เข้าใจว่าเป็นคำ ๆ เดียว แต่จริง ๆ แล้วคนละอย่างกัน คือต้นเดียวกัน แต่ว่าคนละกิ่ง คนละแขนง
            ภูตอย่างหนึ่ง  ผีอย่างหนึ่ง  ปีศาจอีกอย่างหนึ่ง
            มีหน้าตา พฤติกรรม และความสามารถแตกต่างกัน
           นี่แสดงว่า บรรพบุรุษของเราท่านไม่ใช่งมงาย  แต่ท่านมีดวงปัญญาที่สว่างไสวมาก แต่คนในยุคนี้ไม่ทราบความหมายของคำที่ท่านพูดทิ้งเอาไว้  บางคนไปเหมาเข้าใจเองว่า ภูต ผี ปีศาจ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ไม่มีจริง เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นบ้าง หรือปลอมปนกันขึ้นมาบ้าง
            ความจริง ภูต ผี ปีศาจ มีจริง ซึ่งมีกล่าวไว้มากมายในพระไตรปิฎก  เมื่อเรายังไม่ได้พิสูจน์  หรือ พิสูจน์ไม่ได้เพราะทำไม่จริงจังหรือไม่ถูกหลักวิชชา ไม่ควรไปสรุปอย่างนั้น เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้  แต่ต้องพิสูจน์แบบพุทธวิธี  และทุกคนในโลกสามารถพิสูจน์ได้ ยกเว้นบุคคล ๒ ประเภท คือ คนตายและคนบ้า ปัญญาอ่อน  เพราะเขาสูญเสียระบบประสาทการเรียนรู้  แต่ถ้าคนดี ๆ สามารถพิสูจน์ได้ทุกคน ไม่จำกัดกาลเวลา แค่ทำให้ถูกหลักวิชชาอย่างจริงจังก็ทำได้ทั้งนั้น
·       ผี
            ผีก็คืออดีตมนุษย์ มีภพภูมิอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก  แต่เป็นภพซ้อนภพ  คำว่า ผีมีความหมายกว้างมาก  เพราะรวมถึงกายละเอียดในระดับพื้นมนุษย์หลาย ๆ อย่าง เช่น สัมภเวสี ภุมเทวา ยักษ์ วิทยาธร เป็นต้น เราควรมาศึกษาทำความรู้จักกับเพื่อนอดีตมนุษย์บ้าง เราจะได้รู้ว่า ความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างไร ทำไมเขาต้องไปอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว
·       ผีกระสือ
กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง  วิบากกรรมที่ทำให้เป็นภูต ตอนเป็นมนุษย์หากินทางมิชอบ คือ หลอกลวง ต้มตุ๋น เพื่อนมนุษย์  เช่น นำของปลอมมาหลอกขายเป็นของจริงหรือของโบราณ  ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม  ตายแล้วก็จะไปเป็นเปรตก่อน มีความหิวโหยมาก ชอบกินมูตรคูถ ของบูดของเน่าเพราะวิบากกรรมมีพฤติกรรมสกปรก  โลภอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นในทางมิชอบ
เมื่อพ้นสภาพจากเปรต  หากกรรมยังไม่หมดก็จะมาเกิดเป็นภูต  จะกินได้เฉพาะของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็น โดยจะเข้ามาสิงคนที่มีวิบากกรรมเหมือนที่ตัวเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์  และไม่ใช่จะเข้าสิงใครก็ได้  จะเข้าสิงได้เฉพาะบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ คือมีวิบากกรรมอย่างเดียวกัน มันถึงจะดูดไปหากันได้
ภูตมีลักษณะรูปร่างคล้าย ๆ ผี แต่มีฤทธิ์มากกว่า  คือสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้  แต่ผีแปลงกายไม่ได้ ภูตบางตนแปลงได้มาก บางตนแปลงได้น้อย  บางภูตแปลงได้ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง บางภูตแปลงได้แค่เป็นหมาดำตัวใหญ่  บางภูตแปลงเป็นงูได้ เป็นต้น
ภูตจะมีชีวิตสิงมนุษย์อยู่  ยิ่งอยู่นานไปก็จะยึดทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้น  เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่าง ๆ  และขยายขึ้นคลุมต้นไม้  พวกนี้จะชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีหัวและไส้ตามที่เข้าใจ  จะถอดจิตของเจ้าของร่างออกขณะเจ้าของร่างนอนหลับ เมื่อถอดไปแล้วเจ้าของร่างก็ไปไหนไม่ได้  จะเห็นเป็นดวงไฟสว่างเป็นสี ๆ  ส่วนใหญ่ก็จะมีสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อหาอาหาร
ดวงนั้นก็คือดวงจิตของมนุษย์ที่มีวิบากกรรม แล้วถูกบังคับให้ออกมา  โดยภูตจะหุ้มดวงจิตนั้นไว้  ซึ่งมนุษย์จะเห็นแค่เพียงดวงลอยไปเท่านั้น  แต่มองไม่เห็นตัวภูต
ชอบกินของสกปรก ของคาว ของเหม็นเน่า  เวลากินจะแปลงร่างเป็นภูตก่อน มีรูปร่างคล้าย ๆ คน รูปร่างผอมดำน่าเกลียด  ไม่นุ่งผ้า แต่คนจะมองเห็นแค่ดวง  แต่ตัวก็จะแปลงพรึบขึ้นมาเลย มันจะกึ่งหยาบกึ่งละเอียด แล้วก็กินของเน่าสกปรกด้วยความเอร็ดอร่อย  เพราะวิบากกรรมบังคับ กินเสร็จแล้วจะมาเช็ดปากกับเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งไว้ค้างคืน แล้วทิ้งร่องรอยสกปรกไว้ มีความเชื่อว่า ถ้าเอาผ้าที่ผีกระสือเช็ดปากไปฟาดที่บันได จะทำให้คนที่เป็นกระสือเกิดปากบวมบ้าง หรือเอาผ้าไปต้มให้ปวดแสบปวดร้อนบ้าง  นี่ก็เป็นเรื่องราวที่เสริมแต่งกันไป
ผีกระสือมีทั้งหญิงและชาย ชื่อนั้นก็แล้วแต่มนุษย์จะสมมติเรียก เช่น ผู้หญิงก็เรียกว่าผีกระสือ  ผู้ชายก็สมมติเรียกว่าผีกระหัง  แต่ผีกระหังไม่มีกระด้งเป็นปีกหรือมีหางเป็นสากตำข้าว อันนี้มนุษย์ก็สมมติกันขึ้นมา
จะมีการสืบทอดจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่งเมื่อวิบากกรรมนั้นยังไม่หมดและมีหลากหลายวิธี  โดยผู้ที่จะมารับสืบทอดต้องมีกรรมชนิดเดียวกัน  ถ้าไม่มีผู้มีกรรมแบบเดียวกัน ภูตก็ต้องตายไปพร้อมกับร่างที่สิงนั้น  คล้ายต้นกาฝากตายพร้อมกับต้นไม้ที่ตนเกาะอยู่ แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามวิบากกรรมต่อ  เหมือนตายจากเปรตมาเป็นภูต  ตายจากภูตก็ไปเป็นอะไรต่ออะไรตามวิบากกรรมที่ทำมา
·       ผีปอบ
ผีปอบ คือ ผีสายยักษ์  อยู่ในสายการปกครองของท้าวเวสสุวัณ  ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ก็เพื่ออาศัยร่างมนุษย์กินอาหาร  โดยเฉพาะอาหารดิบ ๆ หรือสัตว์เป็น ๆ เช่น ไปหักคอเป็ดไก่ในเล้ากิน หรืออาศัยร่างเหมือนเป็นร่างทรงเพื่อยกระดับตัวเองว่า มีผู้นับถือมาก ๆ  หรือเพื่อทำร้ายให้เจ็บป่วยหรือตาย  เพื่อที่ว่าตายแล้วจะได้ไปเป็นบริวารหรือสานุศิษย์  หรือตายแทน  เพื่อตนจะได้ไปเกิดใหม่
ไม่ใช่ว่าเข้าสิงได้ทุกคน จะเข้าสิงร่างมนุษย์ที่มีวิบากกรรมทางนี้ คือ อดีตเคยนับถือผีเป็นที่พึ่งที่ระลึกยามมีทุกข์ จนเป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา มีจิตผูกพันกับผี และกรรมทำปาณาติบาต  ฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี  บางทีก็ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น เป็ด ไก่ บางทีก็ฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย เป็นต้น จึงทำให้พวกนี้มาเข้าร่างได้ 
การเข้าสิงเขาจะกดทับด้วยมนตร์ทำให้ขาดสติ หรือหมดสติไป ขึ้นอยู่กับว่าทับครึ่งตัวหรือว่าเต็มตัว  ถ้าครึ่งตัวก็จะขาดสติ แต่พอรู้อยู่บ้าง  แต่ว่าบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเต็มตัวนี่จะหมดสติไม่รู้สึกตัว
·       กำเนิดความเชื่อการนับถือผี เซ่นไหว้ผี
ทำไมคนเราจึงเกิดมาต่างกัน  ทำไมบางคนจึงต้องไปเกิดในหมู่บ้านที่มีคนนับถือผี เลี้ยงผี ที่ไปเกิดตรงนั้น เพราะมีวิบากกรรมหลายอย่าง เช่น  ทำทานมาน้อย มีความตระหนี่  อวดดื้อถือดีจัดจนเป็นนิสัย  เลยทำให้ไปเกิดในหมู่บ้านชาวป่าที่นับถือผี มีการฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี ตามความเชื่อถือของบรรพบุรุษ
ที่จริงการฆ่าสัตว์ใหญ่สัตว์เล็กเซ่นไหว้ผีนั้น เป็นเพราะความไม่รู้ว่าจะไปพึ่งอะไรในยามที่มีทุกข์ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่รู้สาเหตุมาจากอะไร ก็เลยคิดว่าผีทำจึงทำการเซ่นไหว้ผี  ซึ่งบางครั้งก็หาย  บางครั้งก็ไม่หาย ที่หายเพราะว่าโรคมีน้อยกับหมดกรรม จึงคิดว่าผีช่วย จิตก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องผี ๆ  ตายแล้วก็กลายไปเป็นผีบ้าง  ปีศาจบ้าง  ก็หมุนเวียนวนกันอยู่อย่างนี้
ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ได้รู้ว่ามีผีหรือไม่มี เมื่อมีความทุกข์ก็คิดว่า ผีแกล้ง จะต้องเซ่นไหว้ แล้วผีจะช่วย นานวันเข้าเมื่อนับถือผีแล้ว ใจก็ผูกพันอยู่กับผี ตายแล้วก็ไปเป็นผี ต่อมาจึงกลายเป็นเลี้ยงผีจริง  แต่เดิมผียังไม่มี  แต่คิดว่ามี  พอคิดว่ามี ใจก็ไปผูกพันกับความไม่รู้ตรงนี้  เอาของมาเซ่นไหว้ แล้วยิ่งบังเอิญเซ่นแล้วหายป่วย ก็เซ่นไหว้ด้วยการฆ่าสัตว์ทำปาณาติบาตเข้าไปอีก ก็ยิ่งเห็นผิดเข้าไปอีก พอตายไปแล้ววิบากกรรมทำให้ไปเกิดเป็นผีอยู่แถวนั้น
เมื่อความเชื่อสืบทอดมาถึงชนรุ่นหลัง คราวนี้ก็ได้นับถือผีจริง ๆ แต่ผีก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตัวเองก็ลำบาก อด ๆ อยาก ๆ  ต่อมาผู้ที่ตายก็กลายเป็นผี มีผีบางตนไปพบกับวิทยาธร ก็ขอเรียนมนตร์เรียนไสยเวท ซึ่งส่วนมากมักจะเรียนเพื่อมุ่งทำลายล้างกันเป็นส่วนใหญ่  ก็จะมีวิชาพวกนี้ มากระซิบข้างหู ให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เลยนับถือสืบ ๆ กันต่อ ๆ กันเรื่อยมา
เพราะฉะนั้น คนที่ถูกผีเข้า ผีสิง หรือเกิดในครอบครัวนับถือผี จะพ้นจากกรรมพวกนี้ได้  ต้องเลิกนับถือผี แล้วให้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย  ทำบุญทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนาให้สม่ำเสมอจนตลอดชีวิต ก็จะพ้นจากกรรมเหล่านี้ได้
ใจผูกพันกับอะไรก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น  ผูกพันกับคนก็ไปอยู่กันคน  ผูกพันกับสิ่งของ ผูกพันกับสัตว์  ผูกพันกับวิชา หรือผูกพันกับสิ่งที่ตัวนับถืออย่างไร มันก็จะไปอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้ผูกพันกับสิ่งใดที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร แต่ให้มาผูกพันกับพระรัตนตรัย  เพราะพระรัตนตรัยเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
คุณครูไม่ใหญ่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Facebook