ในสมัยพุทธกาล พระราชธิดาของพระเจ้าโกศลพระนามว่า  สุมนา เมื่อยังทรงพระเยาว์มีพระชนม์ได้ ๗ พระชันษา ทรงทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่เป็นอจินไตยเกิดขึ้น แต่ได้เก็บไว้เป็นความลับไม่กล้าบอกใคร เพราะเกรงว่าเขาจะไม่เชื่อ
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพระวิหารเชตวันสร้างเสร็จใหม่ ๆ  พระเจ้าโกศลรับสั่งให้พระราชธิดาไปรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หลังจากที่ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาด้วยของหอมและดอกไม้แล้ว  ได้ประทับนั่งในที่อันควรแล้วจึงได้ตรัสเล่าถึงเรื่องที่ทรงสงสัยว่า
หม่อมฉันเห็นเด็ก ๒ คน  เพิ่งเกิดใหม่ คนหนึ่งนอนอยู่ในเปลทอง อีกคนหนึ่งนอนที่พื้นใกล้ ๆ กัน เด็กที่นอนในเปลทองเป็นน้องชายของหม่อมฉัน ได้คุยกับเด็กที่นอนบนพื้นซึ่งเป็นลูกของหญิงรับใช้ว่า  “เห็นมั๊ย  ท่านไม่เชื่อคำชักชวนของเราว่า ให้ทำทานตั้งแต่ชาติที่แล้ว ถ้าทำทานก็จะได้เกิดในอู่ทองแล้วก็มีสมบัติใหญ่อย่างนี้”
เด็กชายที่นอนที่พื้นบอกว่า “ถึงจะร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองแค่ไหน มันก็เป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟเท่านั้น ไม่เห็นว่าจะสำคัญอย่างไร จะได้นอนเปลทอง หรือว่านอนบนพื้นมันก็เหมือนกัน”  
เด็กชายสองคนคุยกันตั้งแต่แบเบาะ  พระนางสุมนา ซึ่งมีวัยเพียง ๗ ขวบ  ไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และได้นำมาตรัสถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ก็ทรงยืนยันว่า สิ่งที่เธอเห็นเป็นจริงอย่างนั้น  
พระนางสุมนาจึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อว่า “คน ๒ คน มีศรัทธา มีศีล มีปัญญาเสมอกัน แต่คนหนึ่งให้ทาน อีกคนหนึ่งไม่ให้ทาน คนทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างไร”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ให้ย่อมได้รับสิ่งอันเลิศกว่าผู้ไม่ให้ ทั้งอายุ วรรณะ สุขะ ยศ และอธิปไตย  ผู้ให้ทานเวลาไปเกิดเป็นเทวดา ย่อมได้รับของที่เป็นทิพย์อันเลิศกว่าผู้ไม่ให้ ๕  ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และอธิปไตย อายุจะยืนกว่าเทวดาที่ไม่ได้ให้ทาน วรรณะก็คือ รัศมี  ผู้ให้ก็จะเป็นเทวดาที่รัศมีสว่างกว่าเทวดาที่ไม่ได้ให้  จะมีความสุขมากกว่า มียศใหญ่กว่า มีอธิปไตย คือ มีความเป็นใหญ่  มีบริวารมากกว่า  ผู้ให้กับผู้ไม่ให้  เมื่อตายแล้วไปอยู่บนสวรรค์ก็แตกต่างกันอย่างนี้ 
และเมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็แตกต่างกันโดยเหตุ ๕ ประการนี้  นั่นคือตอนเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่อายุ ผิวพรรณ วรรณะ ความสุข ยศ และความเป็นใหญ่ และแม้ออกบวชแล้ว ก็แตกต่างกันโดยธรรม ๕ ประการนั้นเช่นเดียวกัน
อีกเรื่องหนึ่ง มีพระอรหันต์รูปหนึ่ง ไม่เคยทำทานเลย ได้แต่รักษาศีล และเจริญภาวนาเรื่อยมา ในชาติสุดท้าย เกิดมาก็อด ๆ อยาก ๆ แม้บวชเป็นบรรพชิตแล้วก็ยังบิณฑบาตรได้บ้างไม่ได้บ้าง  แต่ทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์  ได้ฉันอาหารอิ่มมื้อเดียวตอนก่อนจะดับขันธปรินิพพาน  โดยที่พระสารีบุตรไปบิณฑบาตมาแล้วก็เอามือจับบาตรนั้นท่านจึงได้ฉัน  นี่ผู้ที่ไม่ทำทานมาต้องอาศัยบุญของคนอื่นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแม้เป็นบรรพชิตเหมือนกัน  แต่ผู้ให้กับผู้ไม่ให้ก็แตกต่างกันด้วยอายุ วรรณะ สุขะ ยศ และอธิปไตย แต่การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นไม่แตกต่างกัน  พูดง่าย ๆ ก็คือ คนที่เป็นผู้ให้จะร่ำรวย  สมบูรณ์  มีความสุขสบายกว่าผู้ที่ไม่ให้ ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นชาวสวรรค์  ไปเกิดเป็นมนุษย์  หรือเป็นพระ  เป็นนักบวชก็ตาม  เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นทำทานบ่อย ๆ  เราจะได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบายไปทุกภพทุกชาติ
คุณครูไม่ใหญ่
วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔